ความหวังและความกลัวของสินทรัพย์ที่แตกต่างในช่วงสงคราม

“ตลาดการเงินมักถูกขับเคลื่อนด้วยความหวังหรือความกลัวบนเหตุการณ์ในอนาคต มากกว่าความจริงในปัจจุบัน”

แม้ความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาดการเงินช่วงนี้จะยืนยันคำกล่าวข้างต้นได้ดี แต่ถ้าเรามองไปยังทุกสินทรัพย์หลัก และทุกธีมลงทุน จะพบกับความหวังและความกลัวซ้อนทับกันอยู่

นักลงทุนจึงควรทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก่อนตัดสินใจลงทุน

สินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีเสมอคือหุ้น ตอนนี้กำลัง “หวัง” ว่าอนาคตจะมีแต่ข่าวดี

เห็นได้ชัดจากดัชนี Russell 2000 ที่ปรับตัวขึ้นถึง 3.8% ในช่วงเดือนที่ผ่านมาชนะ S&P500 และ MSCI World Index ได้ ขณะที่ดัชนี MSCI ACWI IMI Genomic Innovation บวกมากที่สุดในกลุ่มธีมอนาคตถึง 5.8%

เหตุผลหลักที่ธีมเหล่านี้ชนะตลาด แน่นอนว่าไม่ได้มาจากกำไรหรือแนวโน้มธุรกิจที่ดีขึ้นจากสงคราม แต่ตลาดกำลัง “หวัง” ว่าถ้าสงครามจบ เศรษฐกิจจะกลับสู่โหมด Recovery ความผันผวนจะลดลง สินทรัพย์ที่ปรับตัวลงมาก ก็ควรฟื้นตัวมากที่สุด

สินทรัพย์ต่อมาคือเงินและสินค้าโภคภัณฑ์ สะท้อนความกลัวสงครามที่ลดลง แต่ไม่หวังว่าโลกจะกลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนหน้าความขัดแย้ง

เด่นที่สุดคือการปรับตัวลงกว่า 25% ของราคาน้ำมันดิบจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี อย่างไรก็ดี ระดับราคาปัจจุบันยังคงสูงกว่าปลายปีที่แล้วกว่า 40%

เช่นเดียวกับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและดอลลาร์ แม้จะย่อตัวลงจากระดับสูงสุดของปี 2021 แต่ก็ยังแพงกว่าปีก่อนอยู่ราว 2.5-5.0%

สองสินทรัพย์นี้ “หวัง” ว่าสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกจะควบคุมสงครามไม่ให้ขยายวงกว้างได้ แต่ขณะเดียวกัน ก็ “กลัว” ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจหลังสงครามจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเก่า และเศรษฐกิจโลกกำลังจะต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง แต่การเติบโตต่ำหรือ Stagflation ในอนาคต

สินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ร้ายและกำลังกลัวว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยคือบอนด์

ปัจจุบัน บอนด์ยีลด์สหรัฐระยะกลาง (5 ปี) ปรับตัวสูงขึ้นมาเท่ากับยีลด์ระยะยาว (10 ปี) ที่ 2.15% ส่วนยีลด์ระยะสั้น (2 ปี) ก็จ่ออยู่เหนือระดับ 1.90% แค่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเดียวก็อาจเกิด Inverted Yield Curve เป็นสัญญาณเตือนว่า Recession กำลังใกล้เข้ามา

เปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่น บอนด์ดูจะไม่ได้คิดซับซ้อน และเลือกมองนโยบายการเงินมากกว่าเหตุผลอื่น แต่ในทางกลับกัน มุมมองของบอนด์ ดูจะ “กลัว” การลงทุนมากผิดปรกติ เพราะในอดีตตั้งแต่ปี 1955 มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 13 รอบ มีเพียงรอบเดียวที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาภายใน 11เดือนคือช่วงปี 1980 ที่มีการขึ้นดอกเบี้ยจาก 9.5% ไปถึง 20% ขณะที่โดยเฉลี่ยต้องรอกว่า 37 เดือนหลังการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก จึงจะเห็นเศรษฐกิจถดถอยตามมา

ทั้งหมดคือความกลัวและความหวังที่สินทรัพย์ต่าง ๆ กำลังบอกกับนักลงทุน อยู่ที่เราจะเลือกนำไปใช้ปรับพอร์ตอย่างไร

สำหรับผม มุมมองที่ต่างกันของแต่ละสินทรัพย์อาจไม่ได้หมายความว่าจะมีใครถูกหรือผิดไปทั้งหมด และนักลงทุนสามารปรับพอร์ตบนวัตุประสงค์ที่ต่างกันด้วยสัดส่วนที่ต่างกันได้

เช่นถ้าเราเชื่อว่าตลาดจะฟื้นตัวหลังสงคราม ก็สามารถลงทุนในกลุ่มหุ้น Growth ที่ปรับฐานลงมามากและมีโอกาสฟื้นตัวแรง

เช่น ARKK หรือ ARK Innovation ETF เป็นตัวเลือกที่นักลงทุนทั่วโลกเห็นตรงกัน จึงมีเงินลงทุนไหลเข้ามากที่สุดใน Thematic ETF เช่นเดียวกับ Capital Group Global Growth Equity ETF (CGGO) ที่มีกลยุทธ์ลงทุนหุ้นเติบโตสูงก็กลายเป็น ETF ออกใหม่ที่ทำ AUM ได้สูงที่สุดในเดือนที่ผ่านมา แค่ต้องไม่ลืมว่าเรากำลังลงทุนบนความหวังสังระยะสั้น สัดส่วนการลงทุนไม่ควรสูง และระยะเวลาในการถือครองก็ไม่ควรนานจนถูกกระทบด้วยนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดต่อเนื่อง

ส่วนระยะยาว ไม่ควรมองข้ามแนวโน้มเศรษฐกิจและโครงสร้างธุรกิจพลังงานที่จะต้องเปลี่ยนไปหลังสงคราม

ผมเชื่อว่าเราจะต้องพบกับเงินเฟ้อที่ลดลงช้า ดอกเบี้ยต้องขึ้นต่อ และเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในที่สุด

ในเดือนที่ผ่านมามี ETF ใหม่เปิดตัวตอบโจทย์อย่าง IWIN หรือ Amplify Inflation Fighter ETF ที่ลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ตั้งต้นของเงินเฟ้อเช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ที่ดิน หรือเหมืองแร่ ก็น่สามารถนำมาใช้ในการรับมือกับเงินเฟ้อได้ในช่วง 6-9 เดือนต่อจากนี้

ส่วนใครกังวลกับภาวะเศรษฐกิจและต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกธีมผันผวนต่ำ (Min Vol) ในตลาดหรือจะเป็น ETF น้องใหม่อย่าง Goldman Sachs ActiveBeta World Low Vol Plus Equity ตัวย่อ GLOV ที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ผันผวนต่ำกว่าตลาดได้เช่นกัน

สินทรัพย์ไหนหวังหรือกลัวกับอนาคตได้อย่างถูกต้องแค่ไหน อีกไม่นานเราจะได้รู้กันครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

iran-israel-war