ตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ กำลังเผชิญกับ “ความสิ้นหวัง” มากกว่าวิกฤตใดๆ ในอดีตที่ผ่านมา หุ้นหลายตัวร่วงลงเกินครึ่ง แต่ไร้แรงซื้อกลับ ตลาดไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะฟื้นตัวในระยะสั้นหรือยาว ไม่ใช่แค่นักลงทุนทั่วไปที่ท้อแท้

แม้แต่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบ VI ระดับตำนานของไทย ยังยอมรับว่านี่คือช่วงเวลาที่ “ยากลำบากที่สุด” นับตั้งแต่เริ่มลงทุนมา จุดที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ราคาหุ้นที่ลดลง แต่คือการที่เศรษฐกิจไทยไร้แรงส่ง ไม่มีปัจจัยหนุนระยะยาว และไม่เห็นโอกาสในการเติบโตเชิงโครงสร้าง นักลงทุนจึงต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพื่อเอาตัวรอดให้ได้

เมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่เอื้อต่อการเติบโต นักลงทุนจึงไม่อาจฝากอนาคตไว้กับตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นที่มาของการปรับพอร์ตครั้งสำคัญของ ดร.นิเวศน์ ที่ได้เล่าแนวคิด และวิธีการลงทุนผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา เป็นคัมภีร์ลงทุนแบบ ดร.นิเวศน์ ประจำปี 2025 ดังนี้

30-30-30-10 กระจายพอร์ตหุ้นไทย หุ้นโลก หุ้นเวียดนาม

จากสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยขาดแรงเติบโตชัดเจน ดร.นิเวศน์ได้ปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ โดยจัดพอร์ตออกเป็น 3 ส่วนหลักเท่าๆ กัน เปรียบเทียบกับโครงสร้างของทีมฟุตบอลที่มี “กองหลัง กองกลาง และกองหน้า”

หุ้นเวียดนาม 30% “กองหน้า” ที่เน้นการเติบโตระยะยาว

สัดส่วน 30% ของพอร์ตถูกจัดสรรไปยังตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งถูกมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในระยะยาว แม้จะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่เวียดนามยังคงมีจุดแข็งด้านโครงสร้างประชากรที่อายุน้อย ฐานการผลิตที่แข่งขันได้ และแรงส่งจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนในระยะหลัง นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคภายในประเทศกำลังเติบโตในลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศไทยในช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 จึงถูกจัดให้อยู่ในบทบาท “กองหน้า” ซึ่งมีหน้าที่หลักคือสร้างการเติบโตของมูลค่าพอร์ต

หุ้นโลก 30% “กองกลาง” ที่สร้างสมดุลและเชื่อมโยงโอกาส

อีก 30% ถูกจัดสรรไปยังการลงทุนในหุ้นโลก ผ่านกองทุนรวมและ DR ที่เข้าถึงบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft, Apple, LVMH หรือแม้แต่ Alibaba การลงทุนส่วนนี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากเศรษฐกิจไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมองหาความแข็งแกร่งจากโมเดลธุรกิจระดับโลก ความสามารถในการปรับตัวสูง และอัตราการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว หุ้นโลกในพอร์ตทำหน้าที่เสมือน “กองกลาง” ซึ่งคอยเชื่อมระหว่างความมั่นคงกับการเติบโต

หุ้นไทย 30% “กองหลัง” ที่เน้นความมั่นคงและรายได้ประจำ

แม้จะยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยขาดแรงส่งเชิงโครงสร้าง แต่พอร์ตยังคงถือหุ้นไทยในสัดส่วน 30% โดยเน้นไปที่หุ้นปันผลมั่นคง กลุ่มสาธารณูปโภค ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และธุรกิจที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ จุดประสงค์หลักของการถือหุ้นไทยไม่ใช่เพื่อหวังการเติบโตเชิงราคาหุ้น แต่เพื่อให้เป็น “กองหลัง” ของพอร์ต คือช่วยลดความผันผวน รับรายได้ประจำ และรักษาสภาพคล่องในภาพรวม

เงินสด 10% กันชนในวันที่ตลาดผันผวน

นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มหลัก ยังมีการกันเงินสดไว้อีก 10% ของพอร์ต เพื่อใช้เป็นกันชนในช่วงตลาดมีความผันผวนสูง หรือเก็บไว้รอโอกาสลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม การถือเงินสดยังช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด

สูตร 5-5-5-5 กลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคงในยุคที่ไม่มี Growth

สำหรับตลาดหุ้นไทย ดร.นิเวศน์ ยังมี “สูตร” ลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและดัชนีปรับตัวลงตอเนื่อง เป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวได้อย่างมั่นคง แม้ในสภาวะที่ไม่มี Growth

นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด “สูตร 5-5-5-5” ที่เน้นผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ความอดทน และการทบต้นที่ทรงพลัง แทนการไล่ล่าหุ้นเติบโตที่ไม่มีอยู่จริงในระบบเศรษฐกิจแบบเดิม

“สูตร 5-5-5-5” นี้ประกอบไปด้วย

5% ปันผลจากกำไรปกติ

หัวใจของสูตรนี้คือการคัดเลือกหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปีจาก “กำไรปกติ” ของบริษัท ไม่ใช่จากกำไรพิเศษหรือรายการชั่วคราว หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีฐานธุรกิจมั่นคง รายได้สม่ำเสมอ เช่น กลุ่มธนาคาร โทรคมนาคม สาธารณูปโภค หรือ REITs ที่มีรายได้ค่าเช่าประจำ

ปันผลต่อเนื่อง 5 ปี

นักลงทุนต้องมั่นใจว่า ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า บริษัทนั้นจะยังสามารถรักษาระดับการจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ตกต่ำหรือหายไป ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว และความมีเสถียรภาพของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินงานอยู่

ลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 5 ตัว จาก 5 อุตสาหกรรม

เพื่อกระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรเลือกหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวที่มาจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ค้าปลีก และสุขภาพ การกระจายเช่นนี้จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง และสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน

ถือยาวอย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้เห็นผลทบต้น

การลงทุนแบบปันผลต้องใช้ระยะเวลาในการออกดอกออกผล ไม่สามารถวัดความสำเร็จได้ภายในปีเดียว การถือครองระยะยาวจะทำให้เงินปันผลสะสมทบต้น และเมื่อราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจหรือแนวโน้มตลาด ก็จะเป็นผลตอบแทนเพิ่มเติมจากเงินต้นอีกทางหนึ่ง

ในยุคที่หุ้นเติบโตกลายเป็นของหายาก และตลาดทุนไทยอยู่ในโหมดนิ่งมานาน นักลงทุนจึงไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนแบบเดิมได้อีกต่อไป ดร.นิเวศน์ จึงเสนอให้เปลี่ยนกรอบความคิดจาก “หาโอกาสจากวิกฤต” มาเป็น “การเอาตัวรอดในโครงสร้างที่ไม่เอื้อ” ผ่านสูตร 5-5-5-5 และการจัดพอร์ตที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่

Tax Cal