
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกำลังเขย่าภูมิทัศน์ของการลงทุนทั่วโลก เมื่อภาษีนำเข้ากลายเป็นอาวุธหลักในเกมภูมิรัฐศาสตร์ แนะนำกองทุน TEMxCH คว้าโอกาสในหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพเติบโต และได้ประโยชน์จาก Trade War
แม้ทั้ง 2 ประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า (Trade Deal) ได้ในระดับหนึ่ง แต่มาตรการภาษีนำเข้า (Tariff) ยังไม่ถูกยกเลิกอย่างชัดเจน กลายเป็นแรงผลักดันให้ภาคธุรกิจเร่งกระจายความเสี่ยงออกจากจีนไปยังประเทศอื่น หรือกลยุทธ์ China+1 ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ในกลุ่ม EM ex-China (ตลาดเกิดใหม่ยกเว้นจีน)
และนี่คือภาพรวมว่า “ใครได้ – ใครเสีย” จากแรงกระเพื่อมของ Tariff ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่
เวียดนาม: โรงงานโลกแห่งใหม่
เวียดนามกลายเป็นดาวรุ่งในสายตานักลงทุนทั่วโลก ด้วยการเป็น “ตัวเลือกอันดับ 1” ของกลยุทธ์ China+1 ด้วยต้นทุนแรงงานต่ำและสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับสหรัฐฯ
แม้จะมีปัญหาจากการอ่อนค่าของเงินดอง (VND) และการไหลออกของเงินทุนบางช่วง แต่กระแสเงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในดัชนี VN30 ที่มี P/E เพียง 10.0 ขณะที่ EPS ปีนี้อยู่ที่ 126.2 และปีหน้าอยู่ที่ 156.2 สะท้อนมุมมองเชิงบวกจากนักวิเคราะห์
อินเดีย: ดาวรุ่งของตลาดเกิดใหม่
อินเดียถือเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์สูงจากกระแส China+1 ด้วยบทบาทพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ขนาดตลาดในประเทศที่ใหญ่ และศักยภาพในการทดแทนจีนในด้านแรงงาน เทคโนโลยี และการผลิตระยะยาว
ด้านตลาดหุ้น ดัชนี Nifty 50 มี P/E อยู่ที่ 20.4 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และ EPS ปีนี้อยู่ที่ 1,148.8 และปีหน้า 1,288.9 ชี้ให้เห็นถึงความคาดหวังในศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง
ไทย: หุ้นถูก ปันผลดี แต่การเมืองกดดัน
ประเทศไทยมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการเป็นฐานการผลิตที่ครบวงจรในอาเซียน และสินค้าส่งออกหลักไม่ทับไลน์กับที่สหรัฐฯ กำลังกีดกัน เช่น ยานยนต์ อาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ถึงแม้เศรษฐกิจภายในยังซบเซา จากจำนวนท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ (เม.ย. 2025 มีนักท่องเที่ยวจีนเพียง 0.31 ล้านคน) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่ฟื้นชัดเจน แต่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย
ด้านตลาดหุ้นไทย SET Index ถือว่ามี Valuation ที่ “ถูกมาก” โดยมี P/E เพียง 11.8 เท่า และ EPS ปีนี้อยู่ที่ 91.4 บาท ส่วน SETHD Index ซึ่งเน้นหุ้นปันผล มี P/E ต่ำเพียง 9.7 เท่า และ EPS ปีนี้อยู่ที่ 106.7 บาท
จุดแข็งอีกอย่างของหุ้นไทยคืออัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงมาก โดย SETHD ให้ Dividend Yield สูงถึง 5.63% และ SET ให้เฉลี่ย 4.4% ซึ่งสูงกว่าพันธบัตรไทย
อินโดนีเซีย: หมุดยุทธศาสตร์แร่ EV
ถือเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างได้ประโยชน์ เนื่องจากประเทศนี้มีทรัพยากรสำคัญอย่าง “นิกเกิล” ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่สหรัฐฯ ต้องการเพื่อลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานโลหะและวัตถุดิบสำคัญ โดยอินโดนีเซียจึงกลายเป็นหมุดยุทธศาสตร์ด้านวัตถุดิบของโลกในยุคนี้
ไต้หวัน: Tech Powerhouse กับเงาแห่งความเสี่ยง
ไต้หวันมีบทบาทเป็น “Tech Powerhouse” ของเอเชีย โดย MSCI Taiwan Index มีสัดส่วนกลุ่มเทคโนโลยีสูงถึง 78.7% และหุ้น TSMC ครองน้ำหนักมากถึง 52.1% ในดัชนี
แม้จะได้ประโยชน์จากความต้องการ Semiconductor ทั่วโลก แต่ไต้หวันยังคงเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สูงที่สุด โดยเฉพาะความขัดแย้งกับจีนแผ่นดินใหญ่
ขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นไต้หวันยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ P/E ของดัชนีอยู่ที่ 15.7 โดย EPS ปีนี้ 53.2 และปีหน้า 60.5
ส่วน TSMC เองมี EPS ปีนี้ 59.1 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 68.1 ในปีหน้า พร้อมกับแผนเพิ่มรายได้จาก AI Accelerators เป็น 2 เท่าในปี 2025
เกาหลีใต้: เทคฯ ยังแกร่ง แต่ภาษีลากลง
แม้เกาหลีใต้จะมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ เป็นกันชน แต่สินค้าอย่างรถยนต์และเหล็กยังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการกีดกันของสหรัฐฯ
รัฐบาลเกาหลีกำลังพิจารณางบประมาณเสริม 30 ล้านล้านวอน (ประมาณ 7 แสนล้านบาท) เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดหุ้น KOSPI ได้แรงหนุนจากการเมืองภายในและแนวโน้มฟื้นตัวของรายได้บริษัท โดยเฉพาะในกลุ่ม Semiconductor ที่ยังมีแนวโน้มดี แม้รายได้จาก Memory Chip เริ่มชะลอลง
ขณะที่ P/E ของ KOSPI อยู่ที่ 9.7 เท่านั้น โดย EPS ปีนี้อยู่ที่ 278.6 และปีหน้า 321.6 ชี้ถึงความคาดหวังต่อกำไรที่แข็งแกร่ง แม้ราคาหุ้นจะยังไม่สะท้อนเต็มที่
บราซิล: ภาษีกดดัน แต่มีโอกาสจากเกษตร
อยู่ในสถานะก้ำกึ่ง ค่อนไปทางเสียประโยชน์ เพราะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน บราซิลยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนที่อาจทดแทนสินค้าที่เดิมสหรัฐฯ ส่งออกไป ทำให้สถานการณ์โดยรวมมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงผสมกัน
ญี่ปุ่น: อุตสาหกรรมแกร่ง แต่ไร้เกราะป้องกันภาษี
ถือเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ที่กำลังเผชิญแรงกดดันเต็มที่จากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งญี่ปุ่นไม่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ เป็นกันชนให้เหมือนเกาหลีใต้ ทำให้ญี่ปุ่นอยู่ในสถานะตั้งรับและถูกบีบให้ต้องเจรจาปรับตัวในหลายด้าน
สหภาพยุโรป (EU): อำนาจต่อรองลดลง แรงกดดันหลากหลาย
กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์เช่นกัน มีความเสี่ยงด้านภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น และยังต้องเผชิญกับข้อขัดแย้งในหลายมิติ เช่น ภาษีดิจิทัล ภาษีเกษตรกรรม รวมถึงอำนาจต่อรองในเวทีการค้าระหว่างประเทศที่ลดลงจากนโยบายกีดกันของสหรัฐฯ
จีน: ศูนย์กลางพายุ
จีนคือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มากที่สุด โดยเฉพาะจากมาตรา 301 และภาษีตอบโต้ที่ทำให้สินค้ากว่า 50% ต้องเจออัตราภาษีสูงถึง 30–55% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก การลงทุน และความเชื่อมั่น
แม้เศรษฐกิจจีนยังมีสัญญาณฟื้นตัวจาก Hard Data เช่น ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่ Soft Data อย่างความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังเปราะบาง ขณะที่ค่าเงินหยวนยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่า
ขณะที่ดัชนีหุ้นจีน H-shares มี P/E อยู่ที่ 9.6 โดย EPS ปีนี้อยู่ที่ 862.5 และปีหน้า 944.4 แม้ Valuation จะดูถูก แต่แรงกดดันจากนโยบายและความเสี่ยงเชิงโครงสร้างยังสูงอยู่มาก
กองทุนแนะนำ TEMXCH ถึงเวลาหนีภาษี (นำเข้า)
กองทุน TEMXCH หรือ กองทุนเปิด ทิสโก้ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอ็กซ์ ไชน่า เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (ยกเว้นจีน) โดยลงทุนผ่านกองทุนหลักคือ Invesco Emerging Markets ex-China Equity ซึ่งมีจุดเด่นคือการคัดเลือกหุ้นประมาณ 45 ตัวทั่วโลกจากตลาดเกิดใหม่ เน้นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพเติบโต และราคายังสมเหตุสมผล
โครงสร้างพอร์ตลงทุนปัจจุบันเน้นไปที่กลุ่มเทคโนโลยี นำโดยยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung Electronics และ TSMC ซึ่งสะท้อนมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของ Global Tech Cycle ที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง
น้ำหนักการลงทุนของกองทุนหลัก แยกตามภูมิภาคและอุตสาหกรรม | Source: Invesco
ในเชิงภูมิภาค กองทุนกระจายการลงทุนอย่างหลากหลาย ทั้งเอเชีย ลาตินอเมริกา แอฟริกา และยุโรปตะวันออก โดยมีน้ำหนักมากในเกาหลีใต้และบราซิล ขณะที่อินเดียถูกจัดอยู่ในสถานะ Underweight เพื่อคุมความเสี่ยงจาก Valuation ที่ค่อนข้างสูง
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (กองทุนหลัก) | Source: Invesco
อีกจุดเด่นคือ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงปัจจุบัน กองทุนให้ผลตอบแทนสะสมถึง 14.19% ซึ่งสูงกว่าดัชนีอ้างอิงที่อยู่ที่ 12.83% สะท้อนถึงคุณภาพของกระบวนการคัดเลือกหุ้นเชิงรุก (Active Selection) ได้เป็นอย่างดี
สนใจลงทุนกองทุน TEMXCH คว้าโอกาสในหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพเติบโต และได้ประโยชน์จาก Trade War
อ้างอิง: Finnomena Live, Invesco
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299


