ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนทั่วโลก ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และฐานผู้บริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนี MSCI India ทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าที่สูงเกินไปและการชะลอตัวของการเติบโตกำไรเริ่มปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในปี 2025 ดัชนี MSCI India แม้จะฟื้นตัวได้เร็วจากแรงสั่นสะเทือนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี แต่กลับเริ่มอ่อนแรงลงในไตรมาสสอง เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI Asia Pacific ซึ่งเติบโตแซงหน้ามาแล้วกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ในช่วงครึ่งปีแรก

มูลค่าที่แพงเกินไปในมุมมองนักลงทุนสถาบัน

หนึ่งในประเด็นหลักที่นักลงทุนระดับโลกเริ่มตั้งข้อสังเกตคือ มูลค่าหุ้นในตลาดอินเดียที่ปรับตัวขึ้นจนสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ดัชนี MSCI India ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E เกือบ 23 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 21.5 เท่า โดยที่อัตราการเติบโตของกำไรในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนกลับต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน

Jian Shi Cortesi ผู้จัดการกองทุนของ GAM Investment Management ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า แม้จะชื่นชอบอินเดียในแง่ของศักยภาพระยะยาว แต่ก็ยังไม่สามารถให้มุมมองเชิงบวกในระยะสั้นได้ เนื่องจากระดับราคาปัจจุบัน “สูงกว่าจุดเหมาะสมมากกว่าช่วงที่ผ่านมา”

ขาดธีม AI และแรงขับเคลื่อนใหม่

แม้อินเดียจะมีเศรษฐกิจภายในที่แข็งแรงและพึ่งพาตนเองได้ดีในหลายด้าน แต่นักลงทุนเริ่มมองหาปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ เช่น ธีมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งในขณะนี้ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกงกลับสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่า ดัชนีหุ้นจีนในฮ่องกงปรับตัวขึ้นถึง 20% ในปีนี้ จากแรงหนุนของ IPO ใหม่และความก้าวหน้าในด้าน AI

Alan Richardson จาก Samsung Asset Management ชี้ว่า หากต้องการให้ราคาหุ้นขยายตัวต่อ นักลงทุนต้องการ “อัตราการเติบโตที่เร็วขึ้น และการปรับประมาณการกำไรในทางบวกอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฏในตลาดอินเดีย

กระแสเงินทุนไหลออกและความผันผวนในตลาดการเงิน

ท่ามกลางแรงกดดันเรื่องมูลค่า นักลงทุนต่างชาติเริ่มปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นอินเดียสุทธิไปแล้วเกือบ 9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวโน้มไหลออกติดต่อกันเป็นปีที่สอง นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในปี 1999

นอกจากนี้ เงินทุนต่างชาติยังลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลอินเดียที่เข้าเกณฑ์ดัชนีอีกกว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงเล็กน้อยในไตรมาสนี้ ทำให้อินเดียกลายเป็นหนึ่งในสองประเทศเอเชียที่เงินอ่อนค่าในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งอาจสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดการเงินอินเดียในระยะสั้น

แต่ระยะยาว พื้นฐานยังแข็งแกร่ง

แม้จะมีแรงขายในระยะสั้น แต่ผู้จัดการกองทุนบางรายยังคงมองว่าอินเดียมีศักยภาพในระยะยาว Joohee An จาก Mirae Asset Global Investments ในฮ่องกง ให้ความเห็นว่า ตลาดอินเดียยังน่าลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมอง 3–5 ปีขึ้นไป และช่วงที่ตลาดปรับฐานอาจเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นคุณภาพ

เศรษฐกิจอินเดียยังคงเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยการขับเคลื่อนจากการบริโภคภายในประเทศ ฐานประชากรขนาดใหญ่ และการเติบโตของชนชั้นกลาง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากประเทศอื่นในเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

จุดเปลี่ยนที่นักลงทุนควรจับตา

ตลาดหุ้นอินเดียกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการขยายตัวอย่างร้อนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สู่ระยะที่นักลงทุนเริ่มพิจารณาอย่างรอบคอบในเชิงมูลค่าและปัจจัยพื้นฐาน การชะลอตัวของการเติบโตของกำไร ราคาหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และการขาดธีมการลงทุนใหม่ที่โดดเด่น ล้วนทำให้เม็ดเงินลงทุนเริ่มเคลื่อนไปยังตลาดอื่นที่มีแนวโน้มการเติบโตชัดเจนกว่า

คำถามสำคัญคือ อินเดียจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างมูลค่าและการเติบโตได้อย่างไรในระยะถัดไป และนักลงทุนควรประเมินกลยุทธ์การลงทุนใหม่เพื่อตอบรับกับโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ในจังหวะที่ความเชื่อมั่นเริ่มถูกทดสอบอย่างจริงจัง

Tax Cal