
เจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan Chase & Co. ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ออกมาเตือนอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเผชิญการปรับฐานรุนแรงภายในช่วง 6 เดือนถึง 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นต่อหุ้นเทคโนโลยีและธีมปัญญาประดิษฐ์ (AI)
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในจังหวะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ภาวะเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูงก็ตาม
เตือนตลาด “มองโลกในแง่ดีเกินไป”
ไดมอนระบุว่า ตลาดในปัจจุบัน “มองโลกในแง่ดีเกินจริง” และกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง โดยมีปัจจัยที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจโลกอยู่หลายประการ ได้แก่
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ขยายตัวตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง ไปจนถึงเอเชีย
- การขาดดุลงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนอาจกระทบเสถียรภาพการคลังระยะยาว
- ความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะอยู่ในแนวโน้มลดลงอย่างยั่งยืนหรือไม่
เขายังเตือนถึง “ความร้อนแรงเกินจริง” ของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งเขาเปรียบเทียบกับยุค ดอทคอมบูมปี 1999 ที่นักลงทุนทุ่มเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน
“AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญของโลก เช่นเดียวกับรถยนต์หรือโทรทัศน์ในอดีต แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนี้จะรอด” เจมี ไดมอน กล่าว
อเมริกาไม่เหมือนเดิม
นอกจากประเด็นตลาดหุ้น ไดมอนยังกล่าวถึงภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในเวทีโลกว่า “ไม่น่าเชื่อถือเหมือนเดิม” โดยชี้ถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ และแรงกดดันต่อ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่อาจกระทบต่อความเป็นอิสระของนโยบายการเงิน
เขาเตือนว่า ความไม่มั่นคงทางการเมืองและการแทรกแซงสถาบันอิสระ อาจทำให้พันธมิตรระหว่างประเทศเริ่มตั้งคำถามต่อบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลก แม้จะยังเชื่อว่า Fed จะสามารถรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ก็ตาม
สัญญาณเตือนก่อนจุดเปลี่ยน
คำเตือนของไดมอนมีน้ำหนักในหมู่นักลงทุน เพราะในอดีตเขามักแสดงความเห็น “สวนกระแส” ก่อนที่ตลาดจะเริ่มเปลี่ยนทิศ เช่น ในปี 2021 ที่เขาเตือนเรื่อง “ฟองสบู่สินทรัพย์” ก่อนที่ตลาดจะปรับฐานแรงในปีถัดมา
ครั้งนี้ เขาเน้นว่าโลกกำลังเข้าสู่ช่วงที่ระดับความไม่แน่นอนสูงกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่ประเมินไว้ และการคาดหวังว่าทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติหลังการลดดอกเบี้ย นั้นอาจเป็นความเข้าใจที่ผิด
อ้างอิง: BBC