
ระบบคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ส่งผลให้บริการออนไลน์ทั่วโลกหยุดชะงักเป็นวงกว้าง โดยสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติใน Data Center “US-EAST-1” ทางตอนเหนือของรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งใน Data Center หลักและ Network Hub ที่สำคัญที่สุดของ AWS
AWS ระบุว่า สาเหตุหลักมาจาก “ความผิดพลาดในการประมวลผลของระบบ DNS Resolution ภายในบริการ DynamoDB API” ซึ่งทำให้การเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันกับเซิร์ฟเวอร์ล้มเหลว
ขณะเดียวกันระบบคลาวด์หลายส่วนของ AWS ก็มี อัตราความผิดพลาด (Error Rate) และความหน่วง (Latency) สูงผิดปกติ จนกระทบต่อบริการสำคัญอย่างบริการจัดเก็บข้อมูล (DynamoDB) และบริการประมวลผลคลาวด์ (EC2)
500 บริษัทสะดุด บทเรียนจากการล่มของ AWS
เหตุขัดข้องดังกล่าวสร้างผลกระทบไปทั่วโลก เนื่องจาก AWS เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันหลายล้านแห่งที่พึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามเหตุขัดข้องของบริการออนไลน์ อย่าง Down Detector ระบุว่ามีรายงานปัญหามากกว่า 4 ล้านครั้ง ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เริ่ม ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าปกติถึง 2 เท่า ขณะที่มีรายงานว่าบริษัทกว่า 500 แห่งทั่วโลกได้รับผลกระทบโดยตรง
โดยบริการที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมทั้งภาคเทคโนโลยี การเงิน และสื่อบันเทิง ดังนี้
- โซเชียลมีเดียและการสื่อสาร เช่น Snapchat, Signal, WhatsApp และ Zoom
- เกมออนไลน์ เช่น Fortnite, Roblox, Pokemon Go, PlayStation Network และ Epic Games
- การเงินและการลงทุน เช่น Lloyds Bank, Halifax, Bank of Scotland, Robinhood, Coinbase และ Venmo
- ธุรกิจและการศึกษา เช่น Duolingo, Canva, Perplexity AI, Airtable และ Smartsheet
- บริการของ Amazon เอง เช่น Amazon.com, Prime Video, Alexa, Amazon Music และ Ring Doorbell
- ภาครัฐและบริการอื่น ๆ เช่น HMRC (สรรพากรอังกฤษ), Vodafone และ Payzone
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้ความเห็นตรงกันว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลหรือ “Single Point of Failure” ที่การล่มของผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่เพียงรายเดียว สามารถทำให้เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบสำคัญของธุรกิจทั่วโลกหยุดชะงักได้ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค
ในระยะยาว เหตุการณ์นี้เตือนว่าบริษัทและหน่วยงานกำกับดูแลควรพิจารณาแผนสำรอง กระจายผู้ให้บริการคลาวด์ หรือพัฒนาเทคโนโลยีทางเลือก เช่น Multi-Cloud Strategy หรือ Edge Computing เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจดิจิทัล
อ้างอิง: BBC, The Economic Times, Data Centre Magazine