
ความตึงเครียดระหว่างจีนและญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซาเนะ ทาคาอิจิ กล่าวเชื่อมโยงสถานการณ์ไต้หวันกับความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นอาจต้องส่งกำลังทหารหากเกิดวิกฤตร้ายแรง
คำพูดสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแรงสะเทือนทางการทูต เศรษฐกิจ และความมั่นคงในระดับภูมิภาค
จีนยกระดับถึง UN
จีนตอบโต้ทันทีด้วยการส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงเลขาธิการสหประชาชาติ โดยระบุว่าหากญี่ปุ่น “แทรกแซงทางทหารในช่องแคบไต้หวัน” จะถือเป็นการรุกรานและจีนมีสิทธิ “ป้องกันตัวขั้นเด็ดขาด” ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
จดหมายฉบับนี้ถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิก UN ทุกประเทศ ทำให้จุดยืนของจีนถูกมองว่าเป็นการยกระดับประเด็นนี้สู่เวทีโลกอย่างชัดเจน ขณะที่ญี่ปุ่นรีบปฏิเสธ โดยยืนยันว่าไม่ได้เปลี่ยนนโยบายต่อไต้หวัน และคำพูดของผู้นำเป็นเพียงการตอบคำถามเชิงสมมติเท่านั้น ความต่างในการตีความนี้ทำให้ช่องว่างระหว่าง 2 ประเทศกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
สงครามวัฒนธรรมเริ่มระอุ
แรงสั่นสะเทือนยังลามสู่ด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน เมื่อคอนเสิร์ตของศิลปินญี่ปุ่นในจีนถูกยกเลิกแบบกะทันหันหลายงาน วงแจ๊ส The Blend ถูกสั่งยกเลิกกลางการซ้อม ขณะที่คอนเสิร์ตและอีเวนต์อื่น ๆ ถูกแคนเซิลรายวัน จนมีผู้จัดงานรายหนึ่งกล่าวว่า “Everything Japanese is canceled now.”
นอกจากนี้ จีนยังออกคำเตือนประชาชนให้ระวังการเดินทางไปญี่ปุ่น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มยกเลิกทริป และอาจทำให้ GDP ญี่ปุ่นหายไปราว 0.29% ตามประเมินของ Nomura
จีนโชว์พลัง
ด้านเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์ จีนเริ่มขยับบทบาทอย่างเข้มข้นในประเด็น Rare Earths โดยที่ประชุม G-20 จีนคัดค้านแนวคิดจำกัดการส่งออกแร่หายาก พร้อมเปิดตัว “เครือข่ายเหมืองสีเขียว” ร่วมกับ 19 ประเทศและ UNIDO โดยให้เหตุผลว่าเพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาและป้องกันการใช้แร่เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร แต่ในสายตานานาชาติ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้จีนยิ่งตอกย้ำการควบคุมวัตถุดิบสำคัญของซัพพลายเชนโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ญี่ปุ่นพึ่งพาอย่างหนัก
ไต้หวันเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ในเวลาเดียวกัน ไต้หวันกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากความขัดแย้งภายในทางการเมือง ความไม่แน่นอนต่อบทบาทของสหรัฐในฐานะพันธมิตร และแรงบีบจากจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การปรับโครงสร้างการค้าระหว่างสหรัฐและจีนทำให้ไต้หวันถูกดันให้อยู่ในจุดกึ่งกลางมากขึ้น
นักวิเคราะห์ของ Bloomberg มองว่านี่อาจเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดสถานการณ์ที่ “ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็ไม่มีใครหยุดได้ทัน”
อ้างอิง: Bloomberg