
หากจะให้เลือก Top pick ในปี 2026 ผมมองว่าหนึ่งในตลาดที่ดูน่าสนใจ คือ ตลาดเกิดใหม่ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. หากพิจารณานับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา จะพบว่าพี่ใหญ่อย่างสหรัฐ มีวิวัฒนาการของธนาคารกลางเป็นดังนี้ คงอัตราดอกเบี้ยระดับใกล้ศูนย์ จนถึงปี 2015 ซึ่งแน่นอนว่า เป็นสภาพแวดล้อมที่ส่งผลเชิงลบต่อตลาดเกิดใหม่ (EM) เนื่องจากกระแสเงินไหลเข้าไปในสหรัฐ เพื่อหากำไรจากตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งได้อานิสงส์ของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE จากนั้น ในยุคเจเน็ต เยลเลน เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ ก็เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนถึงระดับประมาณร้อยละ 5 แล้วค่อย ๆ ลดลงมา ในยุคของเจย์ พาวเวล ก่อนวิกฤตโควิดจะเกิดขึ้นในปี 2020 โดยในช่วงระหว่างปี 2015-2020 อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ ยังถือว่าถูกกดให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งถือว่ายังเป็นการ Subsidize ให้กับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐ ส่งผลเชิงลบต่อตลาดเกิดใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยจนถึงระดับศูนย์ในเดือนมีนาคม 2020 เป็นเวลา 2 ปี จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่ง EM ก็ยังไม่ได้รับผลดีเนื่องจากสหรัฐทำการ subsidize เศรษฐกิจอยู่ จากนั้นเฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยจนมาสู่จุดสูงสุดที่ 5.5% โดยใช้เวลาทั้งหมด 1 ปีครึ่ง มาหยุดขึ้นดอกเบี้ยที่เดือนกรกฎาคม 2023 ซึ่งระหว่างช่วงนี้ แรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็ง ส่งผลเชิงลบต่อ EM จากนั้นเฟดคงดอกเบี้ยที่ 5.5% เป็นเวลา 1 ปี จนเริ่มลดดอกเบี้ยลงในเดือนกันยายน 2024 จนถึงเดือนธันวาคม 2025 มาอยู่ที่ระดับ 3.75%
โดยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มลดลงในรอบนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ การลดลง 1% ระหว่างเดือนกันยายน ถึง ธันวาคม 2024 ซึ่งตรงนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งเนื่องจากความมั่นใจต่อการขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำของโดนัลด์ ทรัมป์ จากนั้นเฟดหยุดลดดอกเบี้ยไป 9 เดือน ตรงช่วงนี้ มาตรการ Tariff ของทรัมป์ในช่วง Liberation day ได้ป่วนตลาดทั่วโลก จนกระทั่งเฟดมาลดดอกเบี้ยลงอีก 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 3.75% ระหว่างเดือนกันยายน ถึง ธันวาคม 2025 ซึ่งจุดนี้เอง ที่ตลาดเริ่มปรับตัวกับมาตรการ Tariff ของทรัมป์ได้แล้ว รวมถึงระดับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐก็ลดลงมาในระดับสูงกว่าระดับธรรมชาติเล็กน้อย ที่สำคัญค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงส่วนหนึ่งจากความไม่เชื่อมั่นว่าสหรัฐจะเป็นมหาอำนาจทางการเมืองของโลกในอนาคตหรือไม่ ซึ่ง EM ถือว่าเริ่มจะเข้ามาสู่จุดที่น่าสนใจค่อนข้างมากเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 15 ปี
2. จากตรงจุดนี้ เฟดยังลดดอกเบี้ยต่อได้อีกพักหนึ่ง ซึ่งทำให้ธนาคารกลาง EM ก็สามารถจะลดดอกเบี้ยได้อีกเช่นกัน นอกจากนี้ Real yield ของประเทศ EM ส่วนใหญ่ยังเป็นบวกอยู่ ยิ่งจะทำให้ธนาคารกลาง EM สามารถลดดอกเบี้ยลงไปจากจุดนี้ได้พอสมควร ทั้งนี้ค่าเงินดอลลาร์กำลังอ่อนค่าอยู่นี้ ก็ไม่ส่งผลเชิงลบต่อ EM เช่นกัน แถมยังทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำและสามารถเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยได้อีกด้วย
3. แม้ว่าจีนจะประสบปัญหาอสังหาริมทรัพย์แบบที่ยังหาจุดต่ำสุดไม่เจอ ทว่าการบริโภค ภาคบริการ และเซกเตอร์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ EV, AI, หุ่นยนต์ และพลังงานสีเขียว กสามารถเป็นจุดขายได้
4. โลกยุค AI ยังต้องการสินค้าสินแร่และเกษตรกรรม ซึ่ง EM สามารถมีให้ อาทิ อินโดนีเซีย (น้ำมันปาล์ม) ชิลี (ทองแดง) แอฟริกาใต้ (โลหะมีค่า) และกาน่า (ทองคำ)
5. การเมืองของ EM ที่เริ่มขยับเข้าสู่ทิศทางที่เป็นมิตรต่อตลาดมากขึ้น สังเกตได้จากทิศทางของกลุ่มประเทศอย่างอินเดีย อาร์เจนตินา และ เม็กซิโก ที่มุ่งเข้าหาแนวสายกลางมากขึ้น แม้ว่ากลุ่มประเทศอย่าง ชิลี เปรู และบราซิล จะเปลี่ยนมาในแนวฝั่งขวามากขึ้นก็ตามที
6. จากการที่ตลาด DM อย่างสหรัฐ สามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาเกือบตลอดกว่า 15 ปี เมื่อเทียบกับตลาด EM ส่งผลให้ช่องว่างด้าน Valuation หรือค่า P/E มีความแตกต่างกันมากกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นข้อดีของ EM จะได้ประโยชน์จากการ re-rating ค่า P/E ในช่วงปีหน้าและปีถัดไป
7. นอกจากนี้ กระแสเงินที่เป็นแบบไหลออกสุทธิของตลาด EM แล้วไหลเข้าสู่ DM มาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะทำให้มีโอกาสเกิด rebalancing มาตลาด EM มากขึ้น
ที่สำคัญ ค่าเงินดอลลาร์ในฐานะเงินสกุลหลักของสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่อ่อนอยู่ในช่วงนี้ กอปรกับที่สหรัฐกำลังประสบกับการขาดดุลด้านการคลังของรัฐบาล พร้อมกับเผชิญกับสภาวะอัตราการเติบโตเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ลงมาสู่ระดับเป้าหมาย รวมถึงกระแสเงินทุนที่ไหลไปภูมิภาคอื่น ยิ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงไปอีก นั่นย่อมส่งผลดีต่อผลตอบแทนของนักลงทุนในตลาด EM และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ EM ที่มีภาระหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com