Retire

 

ท่านใดที่ติดตาม A-Academy หรือได้ศึกษาเรื่องการลงทุนมาพอสมควร คงจะรู้แล้วนะครับว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” จะแสดงพลังอย่างเต็มที่ เมื่อมี “อัตราผลตอบแทน/อัตราดอกเบี้ย” ที่มากพอ และมี “ระยะเวลาการลงทุน” ที่ยาวนานพอ

ถ้ายังไม่เข้าใจถ่องแท้ แนะนำให้ดูวิดีโอนี้ก่อน แล้วค่อยอ่านต่อนะครับ พลังของดอกเบี้ยทบต้น พลังของการลงทุน

 


 

ความรู้นี้ ถ้าเราคิดอยู่ในกรอบ คิดถึงแต่ตัวเรา เราก็มักจะได้ยินคำบ่นว่า “เราเริ่มช้าไปเสียแล้ว” หรือเวลาผมไปบรรยายที่ไหน ประโยคเด็ดที่ชวนให้เจ็บจี้ด ก็คือ “น้องมาเจอพี่ช้าไป

วันนี้ผมชวนมองมุมใหม่ครับ… ถ้ามันช้าไปสำหรับเรา แล้ว “ใครล่ะที่มีเวลาลงทุนมากที่สุดในโลก ?

คำตอบคือ… เด็กที่เพิ่งลืมตาดูโลก (หรือที่อยู่ในท้องแม่) ครับ!

 


 

ถ้าเรามองข้ามช๊อตไปถึงตอนที่เค้าเกษียณอายุเลย เค้าจะมีเวลาลงทุนอย่างน้อยก็ 55 ปี ถ้าอ้างอิงอายุเกษียณของราชการ เค้าจะมีเวลาลงทุน 60 ปี และถ้าอ่าน Trend ว่า คนจะต้องเกษียณอายุช้าลง เหมือนที่เกิดในต่างประเทศแล้ว เค้าอาจมีเวลาลงทุนถึง 65 ปี!

เวลาขนาดนี้มันทำให้ดอกเบี้ยทบต้น “สำแดงเดช” ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ที่สุดครับ

วางแผนเกษียณมั่นคงให้ลูกหลานตั้งแต่วันที่เขาเกิด!

 

จากรูป Infographic จะเห็นว่า เงินลงทุนเพียง 10,000 บาท ถ้าได้ผลตอบแทน 8%, 10%, 12% ในระยะเวลา 60 ปี สามารถเติบโตเป็นเงินถึงประมาณ

1 ล้านบาท (100 เท่า ของเงินเริ่มต้น)
3 ล้านบาท (300 เท่า ของเงินเริ่มต้น)
9 ล้านบาท (900 เท่า ของเงินเริ่มต้น)

ท่านคงรู้สึกไม่ต่างจากผมว่ามันเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก! เงินลงทุนก้อนเล็กๆ ก้อนเดียว อะไรมันจะเติบโตได้ขนาดนั้น แล้วถ้าลงทุนซัก 100,000 บาท ล่ะ ? มันก็อาจจะกลายเป็น 10, 30 หรือ 90 ล้านได้เลยนะครับ ถ้าเตรียมแบบนี้ให้กับลูก/หลาน ที่เรารักไว้ได้ คงจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ

คุณพ่อ คุณแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หากสนใจจะทำแบบนี้ ในทางปฏิบัติจะทำยังไงดี… ???

 


 

ขั้นตอนนั้นง่ายๆ ครับ

1. เปลี่ยนของรับขวัญลูกหลาน เป็นเงินลงทุน!

เช่นเดิมเคยซื้อสร้อยทอง หรือของรับขวัญอื่นๆ ให้ลูก/หลาน เราก็เปลี่ยนเป็นการเอาเงินนั้นไปลงทุนให้เค้าแทน

2. ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น

เพราะเราอยากได้ผลตอบแทนที่สูง และเราก็มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก หุ้น จึงเป็นสินทรัพย์ที่น่าจะเหมาะที่สุด เพราะแม้ระยะสั้นๆ หุ้นจะผันผวน จะมีวิกฤติเป็นระยะ ทั้งวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ (ขาดทุนประมาณ 50%) หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง (ขาดทุนประมาณ 80%) ก็ตาม แต่ถ้าใครถือลงทุนมาได้ตั้งแต่หุ้นไทยเปิดตลาดเมื่อปี 2518 ก็ยังคงได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 12% ต่อปี

ส่วนที่แนะนำให้ลงทุนใน “กองทุนหุ้น” นั้น ก็เพราะนี่เป็นการลงทุนที่ยาวมาก แต่ลงเงินน้อยนิด จะดูแลเองคงเป็นอะไรที่ “ไม่คุ้มแรง” เท่าไหร่ ลงผ่านกองทุน ก็สามารถ “ซื้อแล้วถือลืมไปเลย” ได้ ซึ่งผมคิดว่า กองทุนที่เหมาะที่สุดคือกองทุนหุ้นที่เลียนแบบดัชนี (Index Fund) นั่นเพราะระยะยาวขนาด 50-60 ปี ผมว่าเป็นเรื่องยากที่เราจะเลือกกอง Active Fund ที่ “เจ๋งอย่างต่อเนื่องยาวนาน” ขนาดนั้นได้ การเลือก Index Fund ก็เป็นการตัดปัญหาด้าน “การเลือก” ไป แต่ถ้าท่านใดจะเลือก Active Fund ก็ได้ครับ แต่อาจต้องคอย Monitor เป็นระยะๆ ว่ากองทุนที่เลือก ยังคงบริหารงานได้ตามที่เราคาดหวัง เช่น ยังไม่แพ้ตลาดเป็นต้น

3. หาวิธีส่งมอบที่เหมาะสม

อันนี้เริ่มยาก เพราะจะส่งมอบยังไง ให้ลูกหลานไม่ขายเอาเงินไปใช้เสียก่อนที่จะถึงอายุเกษียณ และไม่ทำให้เค้า ปล่อยปละละเลย ไม่จัดการเงินทองของตัวเอง (เพราะถือว่าพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ทำไว้ให้แล้ว)

ถ้าทำกระบวนการนี้ได้ดี… ผมเชื่อว่าเราสามารถใช้เป็นกุศโลบาย ให้เค้าได้เริ่มใส่ใจเรื่องเงินทอง ตั้งแต่ยังเล็กไปด้วย วิธีการคร่าวๆ ที่ผมคิดไว้ ซึ่งคงไม่สมบูรณ์นัก มีจุดรั่วไหลมากมายคือ เมื่อเค้าเริ่มรู้เรื่อง ก็หาโอกาสคุยเรื่องนี้กับเค้า อาจจะโชว์มูลค่าเงินให้เค้าดูว่า 1 ปี 2 ปี 3 ปี 4 ปี ผ่านมา เงินมันเพิ่ม มันลดยังไง (จะได้สอนเรื่องผลตอบแทน + ความเสี่ยง)

เมื่อเค้าเริ่มเข้าใจคณิตศาสตร์ บวกเลข คูณเลขได้ ก็ค่อยพาเค้าคำนวณดอกเบี้ยทบต้นแบบง่ายๆ ทำทีละปี เล่นเป็นเกมส์ ดูสิว่าถ้าทำไปเรื่อยๆ จะเป็นเงินเท่าไหร่ ? เมื่อเค้าเข้าใจ ก็อยู่ที่วิจารณญาณของเรา ว่าจะมอบอำนาจให้เค้าตอนไหน ให้เค้าได้ “เป็นเจ้าของ” และ “มีอำนาจ” เหนือเงินก้อนนั้นจริงๆ

ถ้าเราทำได้ดี แทนที่เค้าจะขายออก เค้าอาจจะอยากออมเพิ่ม ก็จะเป็นจุดที่เหมาะสมที่เราจะส่งเสริม ให้เค้าได้ออม ได้ลงทุนเพิ่ม เช่นมีเงินตั้งต้นให้ แต่ผมแนะนำว่า อย่าเอามาปนกับบัญชีนี้จะดีกว่าครับ เงินลงทุนจะได้อยู่เป็นสัดเป็นส่วน เค้าเองก็จะได้รู้ว่า ส่วนไหนเราให้ ส่วนไหนเค้าทำ มันน่าจะภาคภูมิใจกว่าฃ

ทุกคนที่มีลูก ก็ย่อมรักและอยากให้เค้าได้ในสิ่งที่ดีที่สุดนะครับ อ่านบทความนี้แล้ว… นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีอีกครั้ง ที่จะถามตัวเองว่า เราจะเตรียมรากฐานการเงินที่มั่นคงให้ลูกมั๊ย ? ด้วยวิธีอะไร ? จะทำเท่าไร ? และ จะทำเมื่อไร ? เพราะนี่เป็นการแสดงออกซึ่งความรักที่เรามีให้กับเค้าอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดวิธีหนึ่งครับ!

 


 

ปล.

  1. หลักการลงทุนแบบนี้ ไม่ต้องเป็นเด็กแรกเกิดก็ทำได้นะครับ เพียงแต่เวลาจะสั้นลงนิดหน่อย และยังใช้ได้กับอีกหลายอย่าง เช่น การวางแผนสร้างกองทุนมรดก เพราะก็จะมีเวลาลงทุนมากเช่นกัน
  2. ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้น แบบที่เป็นการลงทุน ไม่ใช่การเล่น เน้นมุมมองระยะยาว ได้ใน Series สินทรัพย์เพื่อการลงทุน
  3. เรื่อง Index Fund และ Active Fund นั้น ผมมีสอนใน Series ชุด การลงทุนในกองทุนรวม ด้วยครับ