ลำพังแค่การวางแผนการเงิน “ครั้งแรก” นั้นก็ว่ายากแล้ว เพราะคนจำนวนมากยังคงมองการวางแผนการเงินว่าเป็นเพียงการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำเสร็จแล้วก็จบ หรือไม่ก็คิดว่าเป็นเพียงการซื้อผลิตภัณฑ์แค่เป็นครั้งๆ แต่สำหรับท่านหรับท่านที่เริ่มต้นวางแผนการเงินมาอย่างถูกต้องแล้ว ท่านก็จะพบกับสิ่งที่ยากขึ้น ซึ่งเป็นสีสันระหว่างทางของ Financial Journey เพื่อไปสู่เป้าหมายซึ่งมักจะกินเวลาหลายปี นั่นคือ “การปรับแผนการเงิน” เพราะความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่เลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ “ความเปลี่ยนแปลง”
ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใด สิ่งที่จะตามมาในปีถัดๆ ไปก็คือการต้องปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งแนวทางที่นิยมกันมากทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร ก็คือการปรับแผนโดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ทำไปแล้ว คือคิด “ต่อยอด” จากเดิม หรือ “Incremental Thinking” หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ในประเด็นเกี่ยวกับแผนการเงินก็เช่น
อย่างกรณีหลังสุดเรื่องปรับพอร์ต ซึ่งมีเรื่องของกำไรขาดทุนมาเกี่ยวข้องนั้น การปรับแผนแบบต่อยอดจากเดิม จะได้รับอิทธิพลจากอคติต่างๆ ค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นการตัดสินใจที่อาจจะไม่เหมาะสมนัก เช่น
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนจะเห็นว่าการเลือกปรับแผนโดยอิงจากการตัดสินใจ และผลลัพธ์จากการตัดสินใจครั้งก่อนหน้านั้น บางทีสร้าง พันธนาการทางความคิด ให้กับเราได้มาก และไม่ใช่ครั้งเดียว เพราะพันธนาการนี้มันจะสะสมไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป จนถึงจุดหนึ่งเราแทบจะปรับอะไรไม่ได้ เพราะนั่นก็ติด นี่ก็ติด สุดท้ายกลายเป็นต้องหวังลมๆ แล้งๆ ว่าสิ่งที่ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วมันจะดีขึ้นได้เอง (ซึ่งต่อให้สำเร็จก็น่าจะเพราะโชคช่วยมากกว่าฝีมือ)
จากปัญหาดังกล่าว เรามีทางเลือกอีกทางคือการพักสิ่งที่ได้ทำไปแล้วไว้ก่อน แล้วลองเริ่มต้น “วางแผนใหม่จากศูนย์” ซึ่งก็คือแนวคิด “Zero Based Thinking” ตามชื่อบทความตอนนี้ ซึ่งหลักการก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการถามตัวเองว่า “หากวันนี้ได้โอกาสในการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เราจะเลือกทำสิ่งใด” ลองคิดแล้วก็เขียนออกมาดู เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้ทำไปแล้วก่อนหน้า
ตัวอย่างเช่น เดิมอาจจะจัดพอร์ตซื้อหุ้นไว้แบบหนึ่ง พอลองคิดใหม่ทำใหม่ ก็อาจจะพบว่า ในแผนใหม่นี้ ไม่มีหุ้นเดิมที่เคยซื้อไว้อยู่เลยก็ได้ หรือเป้าหมายบางอย่างที่เคยตั้งไว้เมื่อ 4-5 ปีก่อนว่าอยากจะทำให้สำเร็จ พอมาคิดใหม่วันนี้ บางทีเป้านั้นหายไปเลยก็เป็นไปได้ เพราะเสน่ห์อย่างหนึ่งของ Zero Based Thinking ก็คือพัฒนาการของผู้วางแผนเองด้วย อย่าลืมว่าเราในวันวาน ก็ไม่ได้มีประสบการณ์ ความรู้ และภูมิปัญญา เท่ากับตัวเราในวันนี้
เมื่อได้แผนใหม่มาแล้ว จุดที่ยากกว่าก็คือการตัดสินใจปรับสิ่งที่ทำไปแล้ว ให้เข้าใกล้แผนใหม่นี่ล่ะครับ เพราะบางอย่างมันเสียหายไปแล้ว ตรงนี้ก็ต้องลองเปรียบเทียบผลประโยชน์ไปในอนาคตข้างหน้าดู เช่นลงทุนเงิน 1 ล้านบาท ตอนนี้พอร์ตขาดทุนเหลือ 4 แสน มันก็ต้องเริ่มคิดจาก 4 แสนตอนนี้ แล้วเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเลือกเส้นทางเดิมเทียบกับแผนใหม่ อนาคตทางไหนจะดีกว่ากัน เมื่อตอบตัวเองได้ ก็ต้องกลั้นใจปรับอย่างมีเหตุมีผลล่ะครับ
หากยังลังเลอยู่ ผมก็อยากชวนให้ระลึกถึงวรรคทองวรรคหนึ่ง ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่กล่าวไว้ว่า “ความบ้าคลั่ง คือการดันทุรังทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยหวังให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่างไปจากเดิม” น่าจะทำให้เราพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นนะครับ
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนZero Based Thinking, การวางแผนการเงิน, วางแผนใหม่จากศูนย์