การนำ Data Center ลงใต้ทะเล อาจเป็นจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรม Cloud

การขยายตัวของอุตสาหกรรม Cloud Computing ส่งผลให้มีความต้องการใช้พื้นที่ใน Data Center เพิ่มขึ้นมหาศาล หนุนให้หนึ่งในผู้นำตลาด บริษัท Microsoft เกิดโปรเจคใหม่ หาตำแหน่งเหมาะสมที่สุดในการสร้าง Data Center

โปรเจคนี้นำมาสู่การติดตั้ง Data Center ใต้ทะเลหรือที่เรียกว่า Sub-Sea Data Center

ซึ่งมันมีข้อได้เปรียบเหนือ Data Center บนบก ดังนี้

1. กระเเสน้ำใต้ทะเลสามารถนำมาปั่นไฟให้พลังงานเพียงพอกับ Data Center ใช้งานได้ทั้งระบบ

2. ความเย็นจากน้ำทะเล ช่วยลดความร้อนอุปกรณ์ภายใน Data Center โดยไม่ต้องติดตั้งระบบหล่อเย็นเพิ่มเติม (ระบบหล่อเย็นของ Data Center บนบกใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก)

โปรเจคนี้ถูกทดลองต่อเนื่อง และเห็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจ !

Sub-Sea Data Center ของ Microsoft เริ่มการทดลองครั้งเเรกในปี 2016 โดยเบื้องต้นเป็นการทดลองเพียง 3 เดือน เพื่อศึกษาผลกระทบของสิ่งแวดล้อมเเละประสิทธิภาพในการทำงานของระบบ

ต่อมาในปี 2018 บริษัทนำ Data Center ลงใต้ทะเลอีกครั้ง โดยครั้งนี้ศึกษาการทำงานระยะยาวเเละข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งล่าสุด Microsoft ได้นำ Sub-sea Data Center ขึ้นจากน้ำเมื่อเดือนที่แล้ว และได้เห็นประโยชน์ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม Cloud

นั่นคือเมื่อพิจารณาในช่วงเวลาเดียวกัน ปัญหาที่พบใน Sub-Sea Data Center น้อยกว่า Data Center บนบกถึง 8 เท่า !

เนื่องจากระบบไม่ถูกรบกวนโดยมนุษย์ และอุณหภูมิใต้น้ำที่เย็นช่วยให้อุปกรณ์ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าโปรเจคนี้ช่วยยืนยันความคุ้มค่าต่อการย้าย Data Center บางส่วนลงใต้น้ำ เราอาจได้เห็น Sub-Sea Data Center อีกมากในอนาคต ซึ่งมันจะช่วยบริษัทที่ให้บริการระบบ Cloud Computing ประหยัดต้นทุนการเช่าหรือสร้าง Data Center มหาศาล แต่อุปสรรคที่จะต้องเจอแน่ ๆ คือการขัดขวางจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่มองว่าโปรเจคนี้กำลังสร้างผลเสียให้กับแหล่งน้ำ

BottomLiner

ที่มาบทความ: https://bottomliner.co/technology/data-center-cloud/

iran-israel-war