สรุปประเด็นหุ้น MINT ซื้อหรือขายดี?

หุ้น MINT เป็นหุ้นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย ด้วย Market Cap กว่า 178,000  ลบ. MINT ไม่ได้มีแต่ธุรกิจโรงแรมเท่านั้นแต่ยังมีธุรกิจอาหาร และร้านขายของ Lifestyle ด้วย

รายได้ของธุรกิจ MINT แบ่งได้เป็น รายได้จากธุรกิจโรงแรม 53% รายได้จากธุรกิจอาหาร 40% และรายได้จากร้านขายของ Lifestyle อีกประมาณ 7%

แบรนด์ดังๆ ของ MINT ที่พวกเรารู้จักกันดีก็เช่นโรงแรมอนันตารา พิซซ่าคอมปะนี สเวนเซนส์ แดรี่ควีน ซิสเลอร์ เบอร์เกอร์คิงส์ เอสปรี อเนโล่ โดยทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารของ MINT นั้นมีทั้งทำธุรกิจในไทยและขยายไปต่างประเทศด้วย

ถ้ามองย้อนหลังกลับไปในปี 2000 มาจนถึงปี 2017 หุ้น MINT มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 23% จากมีรายได้แถวๆ 2000 ล้านบาทในปี 2000 ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 55,000 ล้านบาทในปี 2017 ถือว่าเติบโตขึ้มาเยอะมาก เกิน 25 เท่า ราคาหุ้นก็ขึ้นมากเช่นกัน

ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนหุ้น MINT ณ ตอนนี้มีอยู่ 1-2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก คือการเข้าลงทุนใน NH Hotel group (เรียกภาษาชาวบ้านว่า Take over นั่นแหละแต่อันนี้ไม่ได้ Take หมดกะเอาแค่ 51% ให้มีอำนาจควบคุมพอ)

แล้ว NH คือใคร? ก็เป็นเครือโรงแรมในสเปนที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสเปน อันดับ 6 ในยุโรป ติด 1 ใน 30 เครือโรงแรมใหญ่สุดในโลกเลยนะ MINT อยู่ในอันดับที่ 68 ถ้ารวมกันจะกลายเป็นเครือโรงแรมอันดับที่ 19 ของโลกทันที  !

Market cap ของ NH ก็อยู่ประมาณ​ 2,400 ล้านยูโร หรือประมาณ 94,000 ล้านบาทไทย ขนาดประมาณครึ่งนึงของ MINT ที่มี Market cap 178,000 ล้านบาท

NH มีโรงแรมทั้งสิ้น 385 โรงแรม รวมเป็น 59,682 ห้องใน 30 ประเทศ ลูกค้าของ NH มีประมาณ 8 ล้านรายเป็นยุโรป 91% เป็นอเมริกันอีก 9%

ผลประกอบการเป็นไง? ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเพราะมี Occupancy rate ถึง 70% มากขึ้นทุกปี รายได้ปี 2017 เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทไปที่ 1,571 ล้านยูโร กำไรเติบโตสูงจากที่ 2 ปีที่ผ่านมายังขาดทุนอยู่เลย เพราะผลก็เพราะการขยายโรงแรมมากเกินไปและปัญหาหนี้สินซึ่งปัจจุบันทยอยแก้ไขไปแล้ว ผลประกอบการเลยค่อยๆดีขึ้น

ผลประกอบการ 1H18  NH มีกำไรแล้วที่ 64 ล้านยูโรหรือประมาณ 2,400 ล้านยูโร (เต็มปีก็ประเมินคร่าวๆได้ที่ 4,800 ล้านยูโร ภายใต้สมมุติฐานว่าสามารถทำ NPM ได้พอๆ กับ 2Q18 ถ้า MINT ลงทุน 51% ก็เท่ากับว่าได้เงินมาประมาณ 2,400 ล้านบาท)

แต่ๆๆ ต้องอย่าลืมว่าการเข้าลงทุนของ MINT ใน NH ใช้การกู้หนี้มาซื้อดังนั้นก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย ถ้า MINT ซื้อ 51% จะต้องจ่ายเงินประมาณ 47,000 ล้านบาท เป็นอัตราดอกเบี้ยหลัง Swop เป็นเงิน Euro แล้วจะต้องจ่ายดอกประมาณ 3-4% หมายความว่าต้องจ่ายดอกคร่าวๆ ปีละ 1,400-1,800 ล้านบาท Net กับกำไรของ NH จะเพิ่มกำไรได้อีกประมาณ 600-1000 ล้านบาท

Synergy ของการเข้าลงทุนในกลุ่ม NH ก็มีหลายมุมเช่น ฐานลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน NH มีฐานลูกค้าเป็นยุโรปเยอะ ในขณะที่ MINT มีฐานลูกค้าเป็นคนเอเซีย เอาฐานลูกค้ามารวมก็เท่ากับ MINT ได้ลูกค้ายุโรปมากขึ้น NH ได้ลูกค้าเอเชียมากขึ้น

นอกจากเรื่องลูกค้าก็มีเรื่องที่ตั้งและแบรนด์ของโรงแรม เพราะในที่ที่มีโรงแรมของ NH อยู่เยอะมักจะไม่มีโรงแรงของ MINT อยู่ ส่วนในที่ที่มีโรงแรมของ MINT อยู่ก็มักจะไม่มีโรงแรมของ NH ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งยอดลูกค้ากันเอง MINT สามารถเอาโรงแรมแบรนด์ดังของ NH มาเปิดในไทยได้ ในขณะเดียวกันก็เอาแบรนด์ของ MINT ไปเปิดในสเปนได้

และที่สำคัญที่สุด NH เป็นกลุ่มโรงแรมที่มี EBITDA Margin น้อยว่า MINT อยู่ที่ประมาณ 15% เท่านั้น ถ้า MINT ซึ่งบริหารโรงแรมได้ EBITDA Margin สูงกว่าที่ 25% เข้าไปช่วยบริหารจัดการก็มีโอกาสที่จะทำให้การทำกำไรดีขึ้น

แล้ว MINT มีโอกาสต้องเพิ่มทุนมั้ย? เพราะต้องเสนอหุ้น NH Hotel group ทั้งหมดจากที่ตั้งใจไว้ว่าจะซื้อแค่ 51-55% ถ้าซื้อทั้งหมดต้องใช้เงินเพิ่มอีกราวๆ 40,000 ล้านบาท แต่ถ้าเรามาดูข้อมูลการที่จะซื้อทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ

1. ราคา Tender ที่ 30 ยูโร ราคาในตลาดก็ประมาณนี้เหมือนกัน ดังนั้นราคาซื้ออาจไม่จูงใจให้คนขายมากนัก

2. ผลประกอบการของ NH กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่ก็ไม่ค่อยจูงใจให้คนขายอีก เพราะบริษัทกำลังไปได้สวยจะขายให้ MINT ในราคานี้ทำไม?

3. ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NH หลายๆรายเป็นกองทุนซึ่งมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุน พวกเขาก็รู้ว่าถ้า MINT เข้ามาบริษัทน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น (ในกรณีเป็นไปตามแผนและ MINT ไม่ได้ทำอะไรพลาด)

แต่ถ้าเกิดคดีพลิก MINT ต้องซื้อทั้งหมดจริงๆ MINT ก็สามารถหา Partner มาช่วยกันซื้อได้ในกรณีที่หาเงินกู้ไม่ได้ หรือไม่อยากกู้มาเกินไป ระดับคุณ William E. Heinecke หา Partner ได้ไม่ยากอยู่แล้ว การเพิ่มทุนมีโอกาสเกิดมั้ย? ก็มีโอกาสแต่น่าจะน้อยเพราะต้องผ่าน Process และผู้ถือหุ้นใหญ่จะโดนผลกระทบไปด้วย MINT ยังมีทางเลือกอื่นๆได้อีก

อีกประเด็นระยะสั้นที่น่าสนใจคือ MINT กำลังเข้าสู่ช่วง High season ของการท่องเที่ยว และโรงแรมบางโรงเช่น Tivoli ได้ผ่านการปิด Renovation เรียบร้อยแล้วพร้อมกลับมาเปิดให้บริการจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังของ MINT มีโอกาสทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาด

ความเสี่ยงหลักๆ ของ MINT ในตอนนี้คงเป็นเรื่องร้านอาหารที่มี SSS ติดลบมาซักพักใหญ่ๆ แล้ว MINT เองก็พยายามปิดสาขาที่ขายไม่ดี ออกสินค้าใหม่ๆ แต่ก็ดูเหมือนยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย การแข่งขันของร้านอาหารเองก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่แข่งกับร้านอาหารด้วยกันเอง แต่ต้องแข่งกับสารพัดร้านอาหารใน Facebook, Instagram ที่ปัจจุบันนี้หันมาขายอาหารผ่าน LINE Man, Kerry กัน

ราคา ณ วันที่ 24  กันยายน 2018 อยู่ที่ 40 บาท ก็ลองพิจารณาดูกันได้ว่าพอใจกับผลตอบแทนที่จะได้รับกันหรือไม่ เพราะนักลงทุนแต่ละท่านก็คาดหวังผลตอบแทนสูง-ต่ำแตกต่างกันไป

แต่อย่างไรก็ดีอย่าลืมวางแผนการลงทุน เผื่อในกรณีที่ MINT ทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ด้วยละกันครับ เพื่อความปลอดภัยของพอร์ทของท่านเอง

Stay Calm, Stay Invest
~แอ๊ดมิน Buffettcode

ดูข้อมูลหุ้น MINT เพิ่มเติมได้ที่
https://www.finnomena.com/stock/MINT

——————-
Vithan Minaphinant
Securities Investment Analyst (IA)
ตรวจทานบทความ


คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้