CIMB-Principal LTF ครบเครื่องเรื่องการเติบโต

โจทย์ของการมองหากองทุน LTF ของผมในครั้งนี้คือการหา LTF ที่มีสัดส่วนของธุรกิจพลังงานและธนาคารน้อยๆหน่อย การซื้อ LTF นั่นหมายถึงต้องถือระยะยาวถึง 7 ปี ทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจที่จะต้องถือธุรกิจที่มีโอกาสถูก Disrupt จากเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเงินในประเทศไทยอย่างโรงกลั่นนํ้ามันหรือธนาคารซักเท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงพยายามหากองทุนที่มีสัดส่วนการถืออุตสาหกรรม Energy และ Banking ให้น้อยที่สุด แต่ยังมีผลประกอบการที่ดีและนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม

 มาดูผลตอบแทนกันก่อน

เริ่มที่ผลตอบแทน 5 ปีและ 3 ปี จะเห็นว่าผลตอบแทน 5 ปีสามารถทำได้ 8.51% ต่อปีใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดที่ 8.63% ถ้าดูที่ผลตอบแทน 3 ปีกองทุนสามารถทำผลตอบแทนได้ 8.01% มากกว่าดัชนีชี้วัดที่ทำผลตอบแทนได้ 5.12% ทำผลตอบแทนสูงกว่าเกือบๆ 3% ซึ่งถือว่าทำได้ดีมาก พอมาดูผลตอบแทนระยะสั้นขึ้นมาอีกคือ 1 ปีกองทุนทำได้ 18.85% ยังคงชนะดัชนีชี้วัดที่ 16.48%

สรุปโดยภาพรวมคือกองทุนสามารถทำผลตอบแทนระยะสั้น-ยาวได้ดีมาก ทีนี้มาดูว่ากลยุทธที่ดกองทุนใช้ในการลงทุนคืออะไรถึงได้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ

กลยุทธการลงทุน ของ CIMB-Principal LTF

CIMB-Principal LTF ถือว่าเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ซึ่งกองทุนจะลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่น้อยกว่า 65% นั่นหมายความว่าไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นเช่นไร กองทุนจะถือหุ้นตลอดเวลาไม่ตํ่ากว่า 65% และอาจมีเงินสดมากถึง 35% ซึ่งก็จะมีข้อดีในเวลาที่ตลาดหุ้นเป็นตลาดขาลง ทำให้กองทุนมีอิสระในการขายหุ้นออกไปเพื่อรอซื้อในราคาที่ตํ่ากว่าได้ จากข้อมูลเดือนกันยายน กองทุนมีการถือหุ้นอยู่ประมาณ 85%

สำหรับการเลือกหุ้นและอุตสาหกรรมที่จะลงทุนกองทุนจะลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับประเทศ โดยทั่วๆไปก็เช่น พลังงาน, ธนาคาร, ค้าปลีก, โรงพยาบาล เรามาดูกันว่าแล้วกองทุน CIMB-Principal LTF มีสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมไหนบ้าง

อุตสาหกรรมที่กองทุนลงทุน

แม้กองทุนจะลงทุนในกลุ่มธนาคารและพลังงานมากเป็นอันดับต้นๆของกองทุน คือลงทุนในกลุ่มธนาคาร 18.04%พลังงานและสาธารณูปโภค 16.83%  และอันดับสามคือเงินทุนหลักทรัพย์ 13.50% แต่ถ้าดูลึกลงไปที่หุ้นที่กองทุนลงทุนจะเห็นว่าหุ้นที่กองทุนลงทุนหลักๆ 5  อันดับแรกไม่มีพลังงานและธนาคารมาเกี่ยวข้องเลย

CIMB-Principal LTF ลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสได้เปรียบสูงในอนาคต และแต่ละบริษัทมีจุดเด่นเป็นของตนเอง

  1. SAWAD หรือบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น ทำธุรกิจสินเชื่อรถแลกเงินรายใหญ่ของประเทศไทย
  2. CPALL หรือ 7-11 ที่เรารู้จักกันดี ทำธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่นอกจากจะมีสาขามากที่สุดในประเทศไทยแล้วยังเป็นร้านสะดวกซื้อที่ผมเชื่อว่าสะดวกที่สุดในประเทศไทยด้วย
  3. AOT หรือบริษัท ท่าอากาศยานไทย ดำเนินธุรกิจสนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมืองของประเทศไทย ซึ่งจะได้ประโยชน์มากจากการเติบโตของนักท่องเที่ยว
  4. THANI หรือบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง ผู้ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถเพื่อการพาณิชย์ เช่นรถกระบะ รถบรรทุก รถไถ เครื่องจักรการเกษตร และมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์
  5. MINT หรือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของโรงแรมอนันตารา อวานี่ และเจ้าของแฟรนไชส์ร้านอาหารและขนมหวานชื่อดังของไทยเช่น เบอร์เกอร์คิงส์, สเวนเซนส์และแดรี่ ควีน

หุ้นที่บริษัทลงทุนหลักๆล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่กำลังเติบโต และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ทำให้การลงทุนของ CIMB-Principal LTF มีโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องในอนาคต เป็นกองทุน LTF ที่ครบเครื่องเรื่องการเติบโตอย่างแท้จริง!


พิเศษ
หากท่านสนใจเปิดบัญชีลงทุนเพื่อรับคำแนะนำลงทุนจริง กรุณากรอกรายละเอียดสั้น ๆ ได้ ที่ www.finnomena.com/nter-exclusive-club เพื่อรับบริการพิเศษจากเรา (จำนวนจำกัด)