buffett-code-invest-chanel

ถ้าคุณซื้อกระเป๋า Chanel Classic Flap Bag ไว้ในปี 2010 ด้วยเงิน 2,850 เหรียญ

หากวันนี้คุณเดินกลับไปที่ร้าน Chanel เพื่อจะซื้อกระเป๋าใบเดิมคุณจะซื้อไม่ได้แล้วเพราะราคาของกระเป๋าได้ขึ้นจาก 2,850 เหรียญมาเป็น 4,900 เหรียญแล้ว

หากมอง Chanel Medium Flap Bag ในมุมของการลงทุน โดยตัดเรื่องสภาพความเสื่อมจากการใช้งานออกไป (คิดซะว่าดูแลดีมากแทบไม่ใช้เลยไรงี้) กระเป๋าใบนี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 70% ในช่วงระยะเวลา 6 ปี ชนะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, หุ้นและกองทุนหลายๆกองและยังชนะการลงทุนในทองคำที่ให้ผลตอบแทนขาดทุน 18% อีกด้วย

นอกจากผลตอบแทนที่ทำได้ดีแล้ว BagHunter เว็บไซต์ด้านกระเป๋าหรูชื่อดังได้เคยทำการสำรวจไว้และสรุปได้ว่าการลงทุนในกระเป๋า Hermes Birkin Bag มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในทองคำหรือตลาดหุ้นซะอีก ทั้งนี้ก็อาจจะเพราะกว่าจะไขว่คว้า Birkin มาในครอบครองซักใบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ อันนี้สาวๆหลายคนคงรู้

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้กระเป๋าเหล่านี้ยังสร้างคุณค่าเพิ่มได้เรื่อยๆก็คือความคลาสสิคที่ทำให้เป็นกระเป๋าที่สวยตลอดทุกยุคทุกสมัย คนที่รู้จักและศึกษาแบรนด์เหล่านี้เป็นอย่างดี มักจะไม่ค่อยซื้อกระเป๋าตามเทรนด์ซักเท่าไหร่เพราะกระเป๋าเหล่านั้นจะไม่สามารถรักษาคุณค่าได้เมื่อเทรนด์ผ่านไป กระเป๋าของหลายๆแบรนด์เองก็มีการผลิตอย่างจำกัด

ถึงแม้ Chanel จะครองแชมป์กระเป๋าที่ราคาขึ้นสูงสุด แต่ไม่ใช่แค่ Chanel เท่านั้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เว็บไซต์ JustCollecting ได้สรุปข้อมูลกระเป๋า Investment Grade ที่มีราคาเพิ่มเฉลี่ยสูงสุดจากปี 2004-2016 เอาไว้ดังนี้

Chanel 2.55 Medium Classic Flap Bag ขึ้น 6% ต่อปี
Hermes 1990s Cognac Leather 40cm Birkin ขึ้น 3% ต่อปี
Emilio Pucci 1970s Black Leather & Velvet Pucci handbag ขึ้น 8% ต่อปี
Christian Dior Lady Dior Cannage ขึ้น 5% ต่อปี
Coach 1960s Leather Sling Bag ขึ้น 9% ต่อปี

แน่นอนไม่ใช่กระเป๋าทุกแบรนด์ทุกรุ่นจะอยู่ใน Investment grade กระเป๋าบางแบรนด์สามารถเป็นที่นิยมและมีคุณค่าสูงขึ้นอย่างยาวนานในขณะที่บางแบรนด์เสื่อมคุณค่าลงจากการออกแบบที่อิงเทรนด์มากเกินไป หรือบางครั้งก็พยายามผลิตจำนวนมากเพื่อตอบสนองกับความต้องการของคนจนทำให้ความรู้สึกพิเศษลดลง

นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋าควรวิเคราะห์ปัจจัย 3 ข้อซึ่งก็คือความมั่นคงของแบรนด์, ความหายากของกระเป๋าแต่ละรุ่น และวัตถุดิบที่ใช้ทำกระเป๋า เป็นปัจจัยหลัก นอกจากนั้นยังมีกระเป๋ารุ่นพิเศษต่างๆที่มีการร่วมออกแบบกับนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังหรือมีการใช้วัสดุพิเศษเช่นพลอยก็จะถือเป็นส่วนเพิ่มมูลค่าได้ด้วยเช่นกัน

เจ้าของร้านกระเป๋าหรูอย่าง Bags and Luxury ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าลูกค้าของเธอไม่ได้มีแค่นักลงทุนทั่วๆไปเท่านั้น ลูกค้าบางคนเป็นถึงเจ้าหญิงหรืออยู่ในราชวงศ์ชั้นสูงของประเทศเลยทีเดียว เธอยังได้เปรียบเทียบเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าผู้ชายเองก็ไม่ต่างกับผู้หญิง พวกเขาชอบสะสมนาฬิกาก็ไม่ต่างกับที่ผู้หญิงสะสมกระเป๋า

หากจะให้เทียบผมคิดว่ากระเป๋าก็มีบางมุมที่คล้ายๆกับ การลงทุนในหุ้นแข็งแกร่งอยู่บ้างเหมือนกันตรงที่กระเป๋าเหล่านี้มักจะมีแบรด์ที่แข็งแกร่งและความนิยมที่สูงอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังก็อาจจะเป็นการติดตามเช็คสุขภาพของแบรนด์ว่ายังแข็งแกร่งอยู่หรือไม่ บริษัทมีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้นโยบายธุรกิจที่ไม่เหมาะสมซึ่งกระทบกับมูลค่าของแบรนด์หรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น การเป็นกระเป๋าหรูแต่ดันไปเน้นขายในร้าน Outlet เป็นต้น

โดยส่วนใหญ่แล้วมูลค่าของแบรนด์ก็มักจะสะท้อนไปที่ Resale value ของตัวสินค้าเองด้วย หากเลือกสรรเฉพาะกระเป๋าที่มี Resale value สูงอย่าง Hermes, Chanel และ Louis Vuitton ก็น่าจะมีความเสี่ยงที่ตํ่าลงไปอีก

จริงอยู่การเลือกซื้อกระเป๋าหรูเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยในสายตาของคนทั่วๆไป แต่ในบางครั้งถ้ามันสามารถให้ความสุขเล็กๆกับคนที่เรารักได้โดยไม่ได้ทำให้เดือดร้อนมากมายและไม่ได้ซื้อเยอะเกินไปก็คงไม่เป็นไร ยิ่งถ้าเราเลือกซื้อเฉพาะกระเป๋า Investment Grade ที่ราคามีแนวโน้มจะขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้าได้ก็จะทำให้ เงินที่เราจ่ายไปคุ้มค่ามากขึ้นและที่คุ้มสุดๆก็คือรอยยิ้มกว้างๆของคนที่อยู่ข้างๆเรานี่เอง


Source:

http://www.harpersbazaar.com/fashion/designers/news/a16188/chanel-handbags-investment-value/

https://wwhttp://observer.com/2016/06/new-study-says-chanel-bags-might-be-the-ultimate-investment-piece/w.bloomberg.com/news/videos/b/b7145971-c0b7-41fa-a367-8df4abacce7d

https://www.ft.com/content/a94f93b2-a817-11e6-8898-79a99e2a4de6

Classic Flap Bag

ที่มาบทความ : http://buffettcode.com/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-chanel/