Yield Enhancement

อยากซื้อหุ้นจังเลย แต่ว่าตอนนี้ดัชนี SET อยู่ตั้ง 1,500 จุดแหน่ะ แพงขนาดนี้ รอให้ดัชนีลงมาที่ 1,380 จุดก่อนค่อยซื้อดีกว่า ถ้า ดัชนี SET ยังสูงกว่า 1,380 จุด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ยังไม่ซื้อหุ้น แต่ระหว่างนี้ก็อยากหาอะไรทำให้ได้ผลตอบแทนด้วย จะทำอะไรดี ถ้าใครอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หล่ะก็ ผมเชื่อว่าบทความนี้ เหมาะกับคุณอย่างแน่นอน เพราะบทความนี้จะมาแนะนำไอเดียในการหาผลตอบแทนขณะที่เรากำลังรอซื้อหุ้น ที่เรียกว่า Yield Enhancement แบบที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังรอซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบันกันครับ

ความต้องการ…ต้องชัดเจน

คำแนะนำสั้น ๆ คือ “กลยุทธ์ขาย Put Options ที่มี Strike Price เท่ากับระดับดัชนีที่ต้องการซื้อหุ้น!!!” ซึ่งถ้าใครพอมีความเข้าใจหรือพอมีความรู้เรื่อง Options มาบ้างแล้วอาจจะเคยได้ยินมาว่าผู้ลงทุนที่เป็นรายย่อยหรือบุคคลธรรมดาที่ต้องการเก็งกำไรทิศทางของราคาห้ามเปิดสถานะฝั่งขาย Options เป็นอันขาด เพราะการขาย Options ไม่ว่าจะเป็น Put Options หรือ Call Options จะมีความเสี่ยงสูงมากเนื่องจากผลกำไรที่ได้รับจะจำกัดอยู่แค่ Premium ที่ได้จากการขาย Options แต่ผลขาดทุนจะไม่จำกัดถ้าราคาเคลื่อนที่ตรงข้ามกับสถานะ Options ที่เราขายไป

แต่…บทความนี้ผมแนะนำให้ขาย Put Options ซึ่งวิธีที่หลายคนคิดว่ามีความเสี่ยงอย่างมาก เพราะผมมีเงื่อนไขว่าคนที่จะทำแบบนี้ได้ความต้องการ….ต้องชัดเจน!!! ดังนั้นจึงขอให้เริ่มทำความเข้าใจเงื่อนไขของคนที่เหมาะสมกับกลยุทธ์นี้ก่อนว่าเค้าเหล่านั้นจะมีความต้องการอะไรอยู่

  1. อันดับแรกต้องเป็นคนที่กำลังต้องการรอซื้อหุ้นที่ดัชนีต่ำกว่าดัชนีในปัจจุบัน เช่น ปัจจุบันดัชนี SET อยู่ที่ 1,500 จุด จึงไม่ต้องการซื้อหุ้นที่ ดัชนี SET ตอนนี้
  2. ต้องมีระดับที่ค่อนข้างแน่นอนว่าอยากจะซื้อหุ้นตอนที่ ดัชนี SET ประมาณเท่าไหร่ และถ้าดัชนียังมาไม่ถึงระดับนี้จะไม่ซื้อหุ้นอย่างแน่นอน เช่น ปัจจุบันดัชนี SET อยู่ที่ 1,500 จุด แต่อยากซื้อหุ้นที่ระดับ 1,380 จุด เป็นต้น
  3. ถ้า ดัชนี SET ปรับตัวลดลงมาถึง 1,380 จุด ตั้งใจจะซื้อหุ้นอย่างแน่นอน เพราะเป็นโอกาสที่รอมานานแล้ว

ถ้าคนไหนความต้องการครบเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว กลยุทธ์ที่แนะนำให้ลองพิจารณา คือ ขาย Put Options ที่มี Strike Price เท่ากับระดับดัชนี SET ที่เราต้องการซื้อหุ้น จะเป็นวิธีที่ทำให้สามารถได้ผลตอบแทนขณะที่กำลังรอซื้อหุ้นอยู่

ขาย Put Options ช่วยสร้างผลตอบแทนขณะรอซื้อหุ้นได้อย่างไร

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า Options เป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่ให้สิทธิผู้ซื้อและผู้ขายทำสัญญากันวันนี้ เพื่อส่งมอบดัชนีหรือสินค้าอ้างอิงกันในอนาคต โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ Call Options (สิทธิในการซื้อ) และ Put Options (สิทธิในการขาย) ซึ่งราคาที่ใช้ในการซื้อขายจะเรียกว่าค่า Premium หรือเปรียบได้กับค่าเบี้ยประกันที่ผู้ซื้อจะจ่ายเพื่อให้ได้รับสิทธิตลอดอายุสัญญา ยิ่งโอกาสในการใช้สิทธิสูงราคาของค่า Premium ก็จะสูงตาม กลับกันถ้าโอกาสในการใช้สิทธิต่ำ ราคาของค่า Premium ก็จะปรับตัวลดลงหรือมีราคาต่ำตามไปด้วย ดังนั้นค่า Premium จึงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น

ในขณะที่ผู้ขาย Options จะได้รับค่าเบี้ยประกันนี้มาก่อน แต่ก็มีพันธสัญญาว่าหากผู้ซื้อจะใช้สิทธิต้องได้รับสิทธินั้นๆ โดยจะมีระดับราคาใช้สิทธิหรือ Strike Price เป็นจุดที่บอกว่าผู้ซื้อจะใช้สิทธิหรือไม่ โดยผู้ซื้อจะใช้สิทธิก็ต่อเมื่อใช้แล้วมีกำไร และจะไม่ใช้สิทธิหากการใช้สิทธิจะทำให้เกิดการขาดทุนหรือไม่คุ้ม ดังนั้นผู้ขาย Options จึงมีกำไรตั้งแต่วันแรกที่ทำสัญญา โดยหากดัชนีหรือสินค้าอ้างอิงไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ผู้ซื้อคาดการณ์ไว้ ผู้ซื้อก็มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช้สิทธินั่นเอง

จากตัวอย่างข้างต้น ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,500 จุด และเราต้องการซื้อหุ้นเมื่อดัชนี SET ปรับตัวลดลงมาที่ 1,380 จุด แนะนำให้ขาย Put Options (สิทธิในการขาย) ที่ Strike Price (ระดับราคาใช้สิทธิ) 1,380 จุด ซึ่งเป็น Options ประเภท Out of The Money (ใช้สิทธิแล้วไม่คุ้ม) โดยเหตุผลที่แนะนำเช่นนี้เนื่องจาก

  1. ถ้า ดัชนี SET  ปรับตัวขึ้นต่อ คือ ปรับตัวสูงกว่า 1,500 จุด ขึ้นไปอีก เช่น ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นเป็น 1,550 จุด เราจะเสียโอกาสในการซื้อหุ้น แต่ Put Options ราคาใช้สิทธิที่ 1,380 จุด ที่เราทำสัญญาขายไป ก็จะมีสถานะ Out of The Money มากยิ่งขึ้น (โอกาสที่ผู้ซื้อ Put Options จะมาใช้สิทธิลดน้อยลง เพราะระดับดัชนีปัจจุบันเพิ่มสูงกว่าราคาใช้สิทธิที่ทำสัญญาไว้) ทำให้ราคาของของ Put Options (ค่า Premium) ปรับตัวลดลง ซึ่งเราสามารถยกเลิกสัญญาเพื่อรับรู้กำไรได้ จากการทำสถานะตรงกันข้ามจากที่ขายสัญญา Put Options ก็กลับมาซื้อสัญญา Put Options คืนในราคาที่ถูกลง (เป็นการขายแพง-ซื้อถูก) หรือเราจะรอจนถึงวันที่ Options หมดอายุก็ได้ เพราะผู้ที่ซื้อ Put Options ไป จะไม่มาใช้สิทธิอย่างแน่นอน เนื่องจากใช้สิทธิแล้วไม่คุ้มค่า เราก็จะได้รับเงินจากการขาย Put Options เป็นผลตอบแทน จากกรณีนี้เราจะเสียโอกาสในการซื้อหุ้นแต่เราจะได้รับผลตอบแทนจากการขาย Options
  2. ถ้า ดัชนี SET ปรับตัวลดลงจาก 1,500 จุด แต่ปรับตัวลดลงไม่ต่ำกว่า 1,380 จุด ซึ่งเป็นระดับดัชนีที่เราต้องการซื้อหุ้น จนวันที่ Options หมดอายุ เราก็จะได้ผลตอบแทนจากการขาย Put Options เป็นผลตอบแทนโดยผู้ที่ซื้อ Put Options ไปไม่ได้มาใช้สิทธิเนื่องจากใช้สิทธิแล้วไม่คุ้มค่า จากกรณีนี้เราจะเสียโอกาสในการซื้อหุ้นแต่เราจะได้รับผลตอบแทนจากการขาย Options
  3. กรณีที่ ดัชนี SET ปรับตัวลดลงจาก 1,500 จุด และปรับตัวใกล้ระดับดัชนี 1,380 จุด ก่อน Options หมดอายุ ให้หาจังหวะซื้อคืน Put Options ที่ขายไปก่อนหน้า เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาใกล้ระดับ 1,380 จุด  โดยกรณีนี้เราอาจได้รับผลตอบแทนเล็กน้อยหรือเกิดผลขาดทุนเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับว่า ดัชนี SET นั้นปรับตัวลดลงเร็วหรือช้า เนื่องจากปัจจัยของเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ จะส่งผลดีต่อผู้ขาย Put Options เนื่องจากทำให้ราคาของ Put Options (ค่า Premium) ปรับตัวลดลง ส่วนการปรับตัวลดลงของ ดัชนี SET เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Put Options (ค่า Premium) มีราคาเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้า ดัชนี  SET ปรับตัวลดลงอย่างช้า ๆ จนปัจจัยของระยะเวลาส่งผลมากกว่าปัจจัยของการปรับตัวลดลงของ ดัชนี SET ราคา Put Options (ค่า Premium) ก็จะมีราคาถูกกว่าราคาที่เราขายไป แต่ถ้า ดัชนี SET ปรับตัวลงลงอย่างรวดเร็วจนปัจจัยของการปรับตัวลดลงของ ดัชนี SET ส่งผลมากกว่าปัจจัยด้านเวลา ราคา Put Options (ค่า Premium) ก็อาจจะมีราคาสูงกว่าราคาที่ขายไปก่อนหน้าทำให้เกิดผลขาดทุนจากการขาย Put Options เล็กน้อย แต่เราก็จะได้โอกาสในการซื้อหุ้นตามที่เราตั้งใจมาทดแทน

การนำกลยุทธ์ไปใช้งานจริง

ในสถานการณ์การลงทุนจริง Put Options ในตลาด TFEX มีเฉพาะ ดัชนี SET50 เป็นสินค้าอ้างอิงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามดัชนี SET กับ SET50 มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว (ขึ้นก็ขึ้นเหมือนกัน ลงก็ลงเหมือนกัน) ซึ่งผู้ที่สนใจขาย Put Options จะต้องปรับจากดัชนี SET เป็นดัชนี SET50 โดยจากข้อมูลย้อนหลังดัชนี SET จะมีค่าประมาณ 1.5-1.6 เท่าของดัชนี SET50 ดังนั้นกรณีที่เราต้องการขาย Put Options อ้างอิงดัชนี SET ที่ Strike Price 1,380 จุด เราก็จะไปขาย Put Options ที่อ้างอิงดัชนี SET50 ที่ระดับ 862.5 จุด (1,380/1.6) เป็นต้น

เงื่อนไขอีกอย่างที่ผู้ลงทุนควรทราบเกี่ยวกับ Options คือ Put Options อ้างอิงดัชนี SET50 ที่ซื้อขายใน TFEX นั้นจะกำหนดความห่าง Strike Price ไว้ทุก ๆ 25 จุด ดังนั้น Strike Price ของ Put Options ที่มีการซื้อขายใน TFEX จะมี Strike Priceเท่ากับ …850 ,875 ,900 ,925 ,950 , 975 ,1000 ,…..  เป็นต้น ดังนั้นหากเราต้องการขาย Put Options อ้างอิง ดัชนี SET50 ที Strike Price 862.5 จุด เราอาจจะเลือกขาย Put Options ที่ Strike Price 850 หรือ 875 เป็นต้น

ในบทความนี้เป็นเพียงการนำเสนอไอเดียในการเพิ่มผลตอบแทนกรณี ตกรถ ถือเงินสด รอซื้อหุ้นเท่านั้น แต่ยังขาดในส่วนของรายละเอียดอื่น ๆ ก่อนการตัดสินใจลงมือซื้อขายจริงที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อน เช่น ควรจะเลือกขาย Put Options ที่ Strike Price ไหนดี และควรจะขาย Put Options จำนวนกี่สัญญาให้เหมาะสมกับสัดส่วนกับหุ้นที่ต้องการจะซื้อ เป็นต้น

สรุป

นักลงทุนสามารถใช้ Options เป็นเครื่องมือในการสร้างกลยุทธ์ Yield Enhancement ได้ โดยนักลงทุนที่ถือเงินสดเพื่อรอซื้อหุ้นที่ระดับ ดัชนี SET ต่ำกว่าปัจจุบัน อาจขาย Put Option ที่ Strike Price ระดับใกล้เคียงกับระดับ ดัชนี SET ที่เราต้องการซื้อหุ้น โดยได้รับผลตอบแทนจากการขาย Put Options อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงอยู่บ้างในกรณีที่ ดัชนี SET ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ผู้ขาย Put Options เกิดผลขาดทุนเล็กน้อยแต่ก็แลกกับโอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในระดับดัชนีที่ต้องการ หากนักลงทุนท่านใดที่สนใจข้อมูลข่าวสาร ความรู้ดี ๆ ในการซื้อขาย Futures และ Options ใน TFEX เพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ TFEX Facebook : TFEX Station   

เขียนโดย Daddy Trader
เผยแพร่ในนามของ TFEXStation