อันดับเครดิตไทย เกิดอะไรเมื่อถูกปรับลดแนวโน้ม

สัปดาห์ที่ผ่านมา Fitch Ratings ได้ส่งสัญญาณเตือนครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ด้วยการปรับลดแนวโน้ม (Outlook) อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “ลบ” (Negative) ขณะที่ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ ไม่เปลี่ยนแปลง 

แม้จะยังไม่ใช่การปรับลดอันดับเครดิตจริง แต่การปรับมุมมองครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ประเทศไทยถูกปรับลดแนวโน้มหรืออันดับเครดิต ก็มักมาพร้อมกับแรงกดดันต่อค่าเงิน ต้นทุนการกู้ยืม และบรรยากาศการลงทุนโดยรวม

3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ Fitch ปรับลดแนวโน้ม

  1. ความไม่แน่นอนทางการเมือง รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาบริหารเพียงราว 4 เดือนก่อนจะต้องเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่ ทำให้ความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจไม่ชัดเจน
  2. สถานะการคลังอ่อนแอ หนี้สาธารณะไทยพุ่งขึ้นจากระดับ 15% ของ GDP ในปี 2000 มาสู่ประมาณ 65% ของ GDP ปัจจุบัน และคาดว่าจะใกล้แตะเพดานใหม่ 70% ภายในปี 2572 สาเหตุหลักคือการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องยาวนาน
  3. เศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่ามาตรฐาน อัตราการเติบโตของ GDP ไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่มีอันดับ BBB ด้วยกัน สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม Fitch ยังชี้ให้เห็นจุดแข็งของไทย โดยเฉพาะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง และดุลบัญชีเดินสะพัดที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยป้องกันความผันผวนจากภายนอก

ผลกระทบต่อสถาบันการเงิน

ผลกระทบนี้ได้ลามไปสู่ภาคธนาคาร โดย Fitch ปรับลดแนวโน้มของ 5 ธนาคารไทยลงเป็น Negative ตามรัฐบาล ได้แก่ EXIM Bank, กรุงไทย, TTB, Standard Chartered (ไทย) และ UOB (ไทย) ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง (ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงศรี, ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์) ยังรักษาแนวโน้ม Stable ได้ เพราะมีความสามารถในการทำกำไรและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่า

ทำไมการปรับลดแนวโน้มถึงสำคัญ

Yield Curve

ตามหลักการแล้ว การถูกปรับลดแนวโน้มหมายถึง นักลงทุนมองว่า ความน่าเชื่อถือของประเทศลดลงและมักนำไปสู่ผลลัพธ์ต่อเนื่อง ดังนี้

  • Bond Yield สูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยง
  • ราคาพันธบัตรลดลง เพราะ Yield และราคาขยับสวนทางกัน
  • กระทบต่อต้นทุนการเงินเอกชน โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ เพราะ Rating ประเทศเป็นตัวอ้างอิงสำคัญ
  • เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) มักเลื่อนสูงขึ้นทั้งกระดานเมื่อ Credit Outlook แย่ลง

ย้อนรอย 30 ปีอันดับเครดิตไทย

ย้อนรอย 30 ปีอันดับเครดิตไทย

ประวัติศาสตร์ชี้ว่าการเปลี่ยน Outlook และ Credit Rating ของไทยมักสัมพันธ์กับวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่

  • ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง (ก่อน 1997) ไทยเคยได้อันดับสูงถึงระดับ A
  • วิกฤตต้มยำกุ้ง (1997-1998) ถูกปรับลดอันดับลงมาอย่างรวดเร็วจนเกือบตกชั้น Investment Grade (มาอยู่ที่ BBB- หรือเทียบเท่า)
  • ช่วงฟื้นตัว (2003-2004) ได้รับการปรับเพิ่มกลับมาเป็น BBB+ และคงไว้ยาวนานกว่า 20 ปี

Credit Rating

ในช่วงปี 2000–2007 ประเทศไทยเคยได้รับการปรับแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” ซึ่งทันทีที่ความเชื่อมั่นสูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ค่อย ๆ กดตัวลง สะท้อนถึงความไว้วางใจที่ตลาดมีต่อศักยภาพของประเทศ

ในทางกลับกัน ช่วงที่แนวโน้มถูกปรับ “ลดลง” เช่น วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 และ วิกฤตโควิดปี 2020 อัตราผลตอบแทน (Yield) พุ่งขึ้นแรง สะท้อนว่าตลาดต้องการค่าชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาครัฐและเอกชนจึงขยับสูงขึ้นตามไปด้วย

สรุปมุมมองตราสารหนี้ไทย พร้อมกลยุทธ์การลงทุน

ตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดเชื่อว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 2 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 2 ปี และ Implied Forward Rate ที่เคลื่อนไหวในระดับต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

เมื่อตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะลง นักลงทุนก็เริ่มมองหาความปลอดภัย หรือที่เรียกว่า “Flight to Quality” ผลก็คือ

  • หุ้นกู้คุณภาพดีเยี่ยม (Rating AAA/AA) เป็นที่ต้องการสูงมาก นักลงทุนพร้อมจะซื้อ แม้ยอมได้ผลตอบแทนเพิ่มไม่มาก
  • ในทางกลับกัน หุ้นกู้ที่คุณภาพต่ำลงมาอย่าง BBB- กลับถูกมองว่าเสี่ยงขึ้น นักลงทุนจึงเรียกดอกเบี้ยเพื่อชดเชยความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จุดที่น่าสังเกตคือ เราเห็นข่าวการผิดนัดชำระหนี้บ่อยขึ้นใน กลุ่มหุ้นกู้เสี่ยงสูง (Non-Investment Grade Bond) และคาดว่าสถานการณ์นี้อาจจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026

สรุปง่าย ๆ คือ ตลาดตอนนี้แยก “ของดี” กับ “ของเสี่ยง” ออกจากกันชัดเจนมาก ดังนั้นกลยุทธ์ที่แนะนำคือ

  1. พักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น KKP MP, KKP PLUS และ KFAFIX-A
  2. พิจารณาลงทุนหุ้นกู้ออกใหม่ (Primary Bond) มี 3 ตัวที่ผ่านเกณฑ์ของ Definit คือ CPFTH, TRUE, และ BGRIM ซึ่งส่วนใหญ่ออกเป็นรุ่นระยะยาว (4-12 ปี) เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินในช่วงดอกเบี้ยต่ำ
  3. เลือกหุ้นกู้ตลาดรอง (Secondary Bond) ที่ยังมีมูลค่าน่าสนใจ เช่น SAWAD, CPF, True และ Perpetual Bond ของ TFG, IVL และ MTC

Reboot Bond Port

หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยมืออาชีพในการดูแลพอร์ตหุ้นกู้ของคุณ “Reboot Bond Port” คือคำตอบ! 

Reboot Bond Port เป็นบริการตรวจสุขภาพหุ้นกู้จาก Definit วิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นกู้ที่มีประสิทธิภาพ มีทีมวิเคราะห์การลงทุน และระบบการตรวจสอบความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ พร้อมออกแบบกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับคุณผ่านโมเดล 5F2M 

สนใจรับบริการ คลิก 👉 https://finno.me/reboot-bond-port-ws


อ้างอิง: ชมรมหุ้นกู้

คำเตือน: การให้บริการ Reboot Your Port คือการตรวจสอบสุขภาพของพอร์ตการลงทุนและให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้บริการ โดยการนำเสนอข้อมูลและคำแนะนำดังกล่าวจะไม่สร้างสิทธิ, ความรับผิดชอบ, หรือภาระผูกพันทางกฎหมายในทุกกรณี บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่รับประกันผลลัพธ์ใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลและคำแนะนำ และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลหรือคำแนะนำไปใช้ในทุกกรณี | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่  09:00 – 17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933

Tax Cal