“อายุ 50 แล้ว สายไปหรือเปล่าที่จะลงทุนหุ้นต่างประเทศ?” คำถามนี้คงผุดขึ้นในใจใครหลายคนที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ บอกเลยว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น หากเรามีแผนที่ชัดเจนและเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ
หลายคนอาจมองว่าการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นเรื่องไกลตัว ซับซ้อนเกินไป หรือเหมาะกับคนหนุ่มสาวที่มีเวลาให้เงินทำงานอีกยาวนาน แต่ความจริงแล้วหุ้นต่างประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต สำหรับผู้ที่วางแผนการเงินระยะยาวหลังเกษียณ
ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม และมีวินัยในการลงทุน การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้พอร์ตในระยะยาวหลังเกษียณ
50+ ก็ลงทุนหุ้นต่างประเทศได้
ในช่วงวัยใกล้เกษียณ หลายคนเริ่มมองหาการลงทุนที่มีแนวโน้มมั่นคงและหลากหลายมากขึ้น การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจเป็นหนึ่งทางเลือก เพราะ…
- เศรษฐกิจของบางประเทศมีเสถียรภาพสูงกว่าประเทศไทย
- ธุรกิจข้ามชาติหลายแห่งมีแบรนด์แข็งแกร่ง และอยู่มานาน
- หลายบริษัทจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
- สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น หากวางแผนอย่างรอบคอบ หุ้นต่างประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตในช่วงวัยเกษียณ
1. เริ่มต้นที่ “เป้าหมาย” ก่อนลงทุน
ก่อนจะลงมือเลือกหุ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เข้าใจว่าลงทุนไปเพื่ออะไร?”
- ต้องการเงินก้อนไว้ใช้ช่วงหลังเกษียณหรือไม่?
- หรืออยากมีรายได้สม่ำเสมอจากปันผลทุกปี?
- มีระยะเวลาในการลงทุนอีก 10–15 ปี หรือมากกว่านั้น?
- ยอมรับการขาดทุนได้มากแค่ไหนในระยะสั้น?
ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้ พอร์ตของเราก็จะ “ตรงเป้า” และ เหมาะกับตัวเราจริง ๆ มากกว่าการลงทุนตามกระแส
2. เลือกประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแรง
การลงทุนต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องของการเสี่ยงโชค แต่เป็นเรื่องของการเลือกประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรง และยังมีศักยภาพเติบโตในอนาคต
ตัวอย่างประเทศที่น่าสนใจ
- สหรัฐฯ ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก และหุ้นสหรัฐฯ หลายตัวมีประวัติปันผลต่อเนื่องยาวนาน และราคาค่อย ๆ เติบโตตามเศรษฐกิจ
- ญี่ปุ่น เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง หุ้นหลายตัวเหมาะกับคนที่ไม่ชอบความผันผวนสูง
- จีน แม้จะผันผวนบ้างในระยะสั้น แต่ศักยภาพการเติบโตมีมาก เหมาะสำหรับคนที่มองเห็นโอกาสในระยะยาว
- เวียดนาม ประเทศดาวรุ่งของเอเชียที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงได้พอสมควร
ไม่ต้องเลือกทุกประเทศ แค่เลือกให้ “สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้” ก็เพียงพอ
3. เน้นหุ้น “แบรนด์ใหญ่” เป็นหลัก
นักลงทุนในวัย 50 ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเล็ก หุ้นซิ่ง หรือหุ้นที่ผันผวนสูง ให้เน้นบริษัทที่ “ธุรกิจแข็งแรง มีรายได้มั่นคง และผ่านวิกฤตใหญ่ ๆ มาได้”
กลุ่มหุ้นตัวอย่าง
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น P&G, Nestlé
- สุขภาพ เช่น Johnson & Johnson, Pfizer
- เทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Apple (แม้จะเติบโตเร็ว แต่ยังมั่นคง)
- โครงสร้างพื้นฐาน / REITs ต่างประเทศ เช่น กองทุนอสังหาฯ หรือโครงสร้างพื้นฐานในประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นเหล่านี้อาจไม่หวือหวา แต่มั่นคงและเหมาะกับคนที่ต้องการปกป้องเงินต้นมากกว่าเร่งทำกำไร
4. พิจารณา “หุ้นปันผล” เพื่อโอกาสเพิ่มกระแสเงินสด
สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มกระแสเงินสดจากพอร์ตในระยะยาว หุ้นที่มีนโยบายจ่ายปันผลอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
ตัวอย่าง
- AT&T, 3M, Coca-Cola – บริษัทใหญ่ที่มีประวัติจ่ายปันผลมานาน
- กองทุนรวมปันผลต่างประเทศ – เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเลือกหุ้นเอง และกระจายความเสี่ยงไปในตัว
ปันผลอาจช่วยสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ต โดยไม่ต้องขายหุ้นออกมา
5. กระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย
คำว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ โดยเฉพาะสำหรับวัยเกษียณที่มีข้อจำกัดในการสร้างรายได้ใหม่
ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยง
- กระจายหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ + ญี่ปุ่น + กองทุนโลก
- กระจายหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี + สุขภาพ + สินค้าอุปโภค
- ใช้ ETF หรือกองทุนรวมต่างประเทศ ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัว
การกระจายช่วยให้พอร์ต “ไม่เจ็บหนัก” หากมีประเทศหรืออุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบ
6. ควบคุมความเสี่ยงจาก “อัตราแลกเปลี่ยน”
แม้หุ้นต่างประเทศจะมีโอกาสเติบโต แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความผันผวนของค่าเงินบาทอาจกระทบผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่ามาก สำหรับใครที่กังวลเรื่องนี้ ยังมีทางเลือกคือการลงทุนผ่านกองทุนที่มีการ “Hedging” หรือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้พอร์ตของเราไม่ผันผวนไปตามค่าเงิน
การป้องกันความเสี่ยงไม่ได้แปลว่า “จะได้กำไรมากสุด” แต่ช่วยให้เรา “นอนหลับสบายขึ้น”
7. ใส่ใจค่าธรรมเนียมและภาษี
หลายคนลงทุนโดยไม่ทันได้ดูค่าธรรมเนียมแฝงในกองทุนหรือ ETF ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อสะสมไปหลายปีอาจส่งผลต่อผลตอบแทนรวมได้ไม่น้อย
ก่อนลงทุน อย่าลืมดู
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee)
- ค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย
- ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage Fee)
- ภาษีปันผลจากต่างประเทศ (บางประเทศเรียกเก็บทันที เช่น สหรัฐฯ 30%)
- ภาษีที่ต้องแจ้งในประเทศไทย (เฉพาะบางกรณี)
ควรเลือกกองทุนที่มีข้อมูลชัดเจน มีประวัติการบริหารที่น่าเชื่อถือ และอย่าลืมอ่านหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุนทุกครั้ง
8. ปรับพอร์ตตามวัยและสถานการณ์ชีวิต
ในช่วงวัย 50+ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การ “โตเร็ว” แต่คือ “โตอย่างปลอดภัย” สัดส่วนพอร์ตหุ้นของคนวัยนี้จึงควรอยู่ที่ประมาณ 40–60% ที่เหลือควรแบ่งไปยังสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น
- กองทุนตราสารหนี้
- พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ
- กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund)
ทุก 1–2 ปี ควร “ทบทวนพอร์ต” ว่ายังตอบโจทย์หรือตรงตามเป้าหมายอยู่หรือไม่ และปรับตามสถานการณ์ของชีวิต
พอร์ตลงทุนที่ดี คือเพื่อนที่เดินไปกับเราได้ตลอดทาง
การลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และวินัยที่มั่นคง โดยเฉพาะในวัย 50+ ที่การลงทุนไม่ใช่เพื่อเสี่ยงโชค แต่เพื่อวางรากฐานให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว การมีพอร์ตที่ออกแบบให้เหมาะกับจังหวะชีวิตหลังเกษียณ อาจช่วยสร้างกระแสเงินสด และลดการพึ่งพาแหล่งรายได้อื่นในอนาคต
หุ้นต่างประเทศอาจดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน และเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจระดับโลก บางบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจช่วยเสริมกระแสเงินสดให้พอร์ตในระยะยาว
ไม่ต้องรีบรู้ทุกอย่างในวันเดียว แค่เริ่มจากสิ่งที่เข้าใจ ลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคอยปรับให้เข้ากับชีวิตเรา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พอร์ตลงทุนของเรากลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจได้ในทุกช่วงของชีวิต
เริ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ด้วย Definit Global Select
ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะเลือกหุ้นยังไง ลองใช้ตัวช่วยอย่าง Definit Global Select กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่าน DR ที่คัดหุ้นนอกคุณภาพมาให้ จัดพอร์ตให้อัตโนมัติ* ช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสจากทั่วโลกโดยไม่ต้องจับจังหวะเอง
Definit Global Select ปรับเกมรุก ปลุกกลยุทธ์สู่ DR หุ้นนอก
ดูรายละเอียดคลิกเลย 👉 https://finno.me/dgs-fb-po
*บริการ Definit Global Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (“Finnomena”) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com