Bond Shock คืออะไร

หลายคนคุ้นเคยกับ “ตราสารหนี้” ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เหมาะกับการถือครองในช่วงตลาดหุ้นผันผวน โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มักถูกมองว่าเป็นแหล่งพักเงิน และเป็นหัวใจสำคัญของการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Bond Shock” กลับถูกพูดถึงมากขึ้น สะท้อนสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับความคาดหวัง เพราะสินทรัพย์ที่ควรจะช่วยลดความเสี่ยง กลับกลายเป็นต้นเหตุของแรงสั่นสะเทือนในตลาดทุน สถาบันการเงิน และเศรษฐกิจโดยรวม

Bond Shock ความผันผวนจาก “สินทรัพย์ที่ควรนิ่ง”

แม้ตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ แต่ราคาซื้อขายในตลาดสามารถผันผวนได้ตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้นักลงทุนบางรายเผชิญกับ “Bond Shock” โดยไม่ทันตั้งตัว

Bond Shock คือ ภาวะที่ราคาของตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงภายในช่วงเวลาสั้น ๆ มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น ธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาด ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) พุ่งสูง ส่งผลให้ราคาพันธบัตรที่ออกไว้ก่อนหน้านั้นร่วงทันที

แล้ว Bond Shock เกิดจากอะไร?

แม้ตราสารหนี้จะถือเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” สำหรับการกระจายความเสี่ยง แต่เมื่อเผชิญ Bond Shock ขึ้นมา มันกลับกลายเป็นแหล่งต้นตอของความผันผวน โดยมี 4 สาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลัง ดังนี้

1. ดอกเบี้ยพุ่งเร็วกว่าคาด

เมื่อธนาคารกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างเฟด (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วหรือแรงเกินความคาดหมาย พันธบัตรที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่ากลายเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จูงใจอีกต่อไป นักลงทุนจึงเทขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า ส่งผลให้ราคาพันธบัตรเดิมร่วงลงอย่างรวดเร็ว

2. เงินเฟ้อไม่ลดตามเป้า

แม้ธนาคารกลางจะพยายามควบคุมเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง นักลงทุนจะตั้งคำถามว่า “การถือพันธบัตรยังคุ้มค่าไหม?” เพราะแม้จะได้รับดอกเบี้ย หากอำนาจซื้อของเงินลดลง รายได้จากพันธบัตรก็อาจไม่เพียงพอที่จะรักษามูลค่าเงินต้นไว้ได้

3. สภาพคล่องในระบบลดลง

เมื่อธนาคารกลางลดขนาดงบดุลหรือดูดสภาพคล่องออกจากระบบ เช่น การหยุดมาตรการ QE หรือเริ่ม QT (Quantitative Tightening) ส่งผลให้เม็ดเงินในระบบลดลง นักลงทุนมีสภาพคล่องน้อยลง และอาจต้องขายสินทรัพย์บางอย่างเพื่อใช้เงิน พันธบัตรจึงกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกขายทิ้ง แม้ราคาจะไม่เหมาะก็ตาม ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อราคาอย่างต่อเนื่อง

4. Panic Sell จากกองทุนหรือสถาบัน

แรงขายจำนวนมากมักไม่ได้มาจากนักลงทุนรายย่อย แต่เกิดจากกองทุนหรือสถาบันขนาดใหญ่ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง–ยาว ที่ต้องเผชิญกับแรงไถ่ถอน (Outflow) อย่างหนัก หากผู้ลงทุนแห่ถอนเงินพร้อมกัน กองทุนจำเป็นต้องขายพันธบัตรออกมาเพื่อจ่ายคืน แม้จะอยู่ในภาวะที่ราคายังต่ำก็ และเมื่อการขายกระจายออกไปในวงกว้าง ก็จะยิ่งซ้ำเติมตลาดให้ราคาตกลงอย่างรุนแรง กลายเป็น Bond Shock แบบโดมิโนในที่สุด

Bond Shock ในประวัติศาสตร์

ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้เคยเผชิญภาวะ “Bond Shock” มาแล้วหลายครั้ง แต่ละเหตุการณ์ล้วนมีปัจจัยกระตุ้นเฉพาะตัว และทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ให้กับนักลงทุนรุ่นหลัง

1. ปี 1994 Great Bond Massacre นโยบาย Fed เขย่าโลก

Bond Yield สหรัฐฯ พุ่งแรงช่วงปี 1994

Bond Yield สหรัฐฯ พุ่งแรงช่วงปี 1994 | Source: Investing.com

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอย โดยในช่วงปี 1993 เศรษฐกิจมีสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง และมีความกังวลว่าแรงกดดันเงินเฟ้ออาจกลับมาอีกครั้ง

Fed ภายใต้การนำของประธาน อลัน กรีนสแปน (Alan Greenspan) จึงตัดสินใจ “ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว” จากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี โดยในช่วงเวลาเพียง 12 เดือน Fed ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 3% เป็น 6%

แม้จะเป็นการดำเนินนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ตลาดกลับไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าอย่างเพียงพอ การขึ้นดอกเบี้ยที่รวดเร็วและต่อเนื่องสร้างความตื่นตระหนกในตลาดพันธบัตร นักลงทุนจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังทรงตัวหรือขึ้นช้า ๆ จึงเผชิญกับการขาดทุนอย่างรุนแรงจากราคาตราสารหนี้ที่ร่วงลงต่อเนื่อง

ผลกระทบขยายตัวไปในระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ Leverage หรือลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์ในตลาดอัตราดอกเบี้ย เช่น ธนาคารญี่ปุ่น สถาบันการเงินในยุโรป และกองทุนเก็งกำไรหลายแห่ง ซึ่งต้องเผชิญภาวะ “Margin Call” และบังคับขายพันธบัตรจำนวนมาก

ตลาดพันธบัตรทั่วโลกในเวลานั้นสูญเสียมูลค่ารวมกันกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ และเหตุการณ์นี้ถูกเรียกขานในเวลาต่อมาว่า “Great Bond Massacre” ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดพลาดด้านการประเมินทิศทางนโยบายการเงินที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุน

เหตุการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล และ Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีถัดมา แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกับบทเรียนว่า การประเมินผลกระทบของนโยบายการเงินต่ำไป อาจทำให้สินทรัพย์ปลอดภัย กลายเป็นบ่อเกิดของความผันผวนได้เช่นกัน

2. ปี 2013 Taper Tantrum เมื่อตลาดตกใจข่าว

Bond Yield ช่วง 2008 - 2015

Bond Yield ช่วง 2008 – 2015 | Source: Investopedia

หลังวิกฤตการเงินปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หรือ QE (Quantitative Easing) อย่างเต็มที่ โดยอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดต้นทุนทางการเงินให้ต่ำเป็นพิเศษ

ในช่วงต้นปี 2013 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และ Fed เริ่มพิจารณาว่าควรเริ่มลดขนาดของ QE หรือไม่ โดยในเดือนพฤษภาคม 2013 เบน เบอร์นันเก (Ben Bernanke) ประธาน Fed ในขณะนั้น กล่าวเพียงว่า “Fed อาจเริ่มลดขนาด QE ภายในสิ้นปี หากเศรษฐกิจดำเนินไปตามที่คาด”

แม้จะยังไม่มีการปรับนโยบายใด ๆ อย่างเป็นทางการ แต่นักลงทุนในตลาดกลับตอบสนองด้วยความตกใจ โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตร ซึ่งเคยได้ประโยชน์จากการที่ Fed เป็นผู้ซื้อรายใหญ่

Yield พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นจาก 1.6% เป็นเกือบ 3% ภายในเวลาไม่กี่เดือน ขณะที่ราคาตราสารหนี้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ ร่วงลงอย่างรุนแรง

ผลกระทบที่ตามมา คือเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว ค่าเงินในประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล อ่อนค่าหนัก ภาครัฐต้องเร่งปรับนโยบายรับมือ พร้อมกับสูญเสียเสถียรภาพทางการเงินในระยะสั้น

3. ปี 2022 – 2023 Bond Shock ยุคใหม่จากดอกเบี้ยสูง

Bond Yield หลังจาก Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย

Bond Yield หลังจาก Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย | Source: Futubull, Federal Reserve, Bloomberg

ภายหลังการระบาดของ COVID-19 โลกอยู่ในช่วงดอกเบี้ยต่ำและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งด้านการเงินและการคลัง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ตามมาคืออัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี

Fed จึงจำเป็นต้อง “เร่งขึ้นดอกเบี้ย” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยปรับขึ้นจาก 0.25% ไปแตะระดับกว่า 5% ภายในเวลาเพียง 12 เดือนในปี 2022

ผลลัพธ์คือราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลงอย่างรุนแรง แม้จะเป็นตราสารที่มีความมั่นคงสูงและได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงสุด นักลงทุนที่ถือพันธบัตรเหล่านี้จึงเผชิญผลขาดทุนทางบัญชี (Mark-to-Market) ในระดับที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ผลกระทบไม่ได้หยุดเพียงในระดับนักลงทุนรายย่อยหรือกองทุน แต่ลุกลามไปถึง “ระบบธนาคาร” โดยเฉพาะกรณีของ Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งมีการถือพันธบัตรระยะยาวจำนวนมาก และไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากดอกเบี้ย เมื่อราคาตราสารเหล่านั้นลดลง และลูกค้าถอนเงินพร้อมกัน จึงขาดสภาพคล่องและนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด

ผลพวงจาก Bond Shock ที่นักลงทุนต้องรู้

การเกิด Bond Shock ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์ธรรมดาในตลาดการเงิน แต่คือการ “สั่นคลอนความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตราสารหนี้ซึ่งควรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความผันผวนครั้งใหญ่

หนึ่งในสัญญาณที่สะท้อน Bond Shock ได้อย่างชัดเจนคือ “ราคาพันธบัตรที่ร่วงลงอย่างรวดเร็ว” การที่นักลงทุนเทขายพันธบัตรจำนวนมาก อาจสะท้อนถึงความไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ หรือในอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นความกังวลว่ารัฐบาลจะกู้เงินมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยงทางการคลัง (Fiscal Risk) นักลงทุนจึงเริ่มลดการถือครองหนี้รัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่พุ่งขึ้นรวดเร็ว

ทั้งนี้ ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่ในตลาดพันธบัตร เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดพุ่งสูงขึ้น บริษัทเอกชนและประชาชนทั่วไปที่ต้องการกู้ยืมเงินก็ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย การซื้อบ้าน การผ่อนรถ หรือแม้แต่การลงทุนในธุรกิจ กลายเป็นเรื่องที่ “แพงขึ้น” อย่างฉับพลัน ผลลัพธ์คือเศรษฐกิจจริงอาจชะลอตัวลงจากแรงกระแทกนี้

ไม่เพียงเท่านั้น ตลาดหุ้นเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ เพราะเมื่อต้นทุนเงินเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจก็ถูกตั้งคำถามทันที ดอกเบี้ยที่สูงหมายถึงนักลงทุนจะต้องใช้ “ดิสเคานต์เรต” ที่สูงขึ้นในการประเมินมูลค่าหุ้น ซึ่งทำให้ราคาหุ้นดูแพงขึ้นทันทีเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ส่งผลให้ตลาดหุ้นตกลงตามมาด้วยแรงเทขายจากนักลงทุนทั่วโลก

สงครามการค้า ระเบิดเวลา Bond Shock?

สงครามการค้า (Trade War) คือระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ ที่อาจจุดชนวนให้เกิด Bond Shock ได้รุนแรงยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน หากต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้นจากภาษี เงินเฟ้อก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตาม นักลงทุนจึงเริ่มคาดการณ์ว่า Fed อาจจำเป็นต้องคงดอกเบี้ยในอัตราที่สูงและนานกว่าที่เคย และเมื่อความคาดหวังเปลี่ยน ตลาดพันธบัตรก็ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ราคาพันธบัตรร่วงและ Yield พุ่งขึ้นในทันที

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ตลาดไม่อาจมองข้ามได้ นั่นคือการที่จีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ หากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศลุกลาม จีนอาจลดการซื้อพันธบัตร หรือถึงขั้นขายออก ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะอุปสงค์ลดลงทันที ราคาพันธบัตรจะปรับตัวลง และ Bond Yield พุ่งขึ้นอีกครั้ง

และในภาพรวมของตลาดโลก ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นจากกระแสความกังวล และการไหลของเงินทุนกลับเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยในสหรัฐฯ จะยิ่งซ้ำเติมตลาดเกิดใหม่ ทุนไหลออกจากตลาดเหล่านี้ ทำให้เกิดความปั่นป่วนในระบบการเงิน และนักลงทุนบางกลุ่มอาจตัดสินใจลดความเสี่ยงด้วยการขายตราสารหนี้ทิ้งอีกระลอก


อ้างอิง: Tradingview, ม้าเฉียว ดูหุ้น The Future, Reuters, Investopedia

ThaiESGX