Emerging Markets Contagion (2018) โรคติดต่อของตลาดเกิดใหม่!?

ย้อนไปปี 2011 มีภาพยนต์เรื่องหนึ่งชื่อ Contagion เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรคติดต่อที่เกิดจาก “เบธ” นักธุรกิจหญิงชาวสหรัฐ (นำแสดงโดย กวินเน็ธ พัลโทรว์) ที่เดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ฮ่องกง และได้ติดโรคประหลาดจนเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แถมโรคนี้ยังแพร่ไปทั่วโลก โรคดูจะไม่ร้ายแรงมาก เพราะ “มิตช์” สามีของเบธ (นำแสดงโดยแมท เดม่อน) ก็ไม่ได้ติดโรคแม้จะสัมผัสตัวกัน แต่ความโกลาหลทั่วโลกกลับเกิดขึ้นเพราะ “อลัน” บล๊อกเกอร์ชื่อดัง (นำแสดงโดยจู๊ด ลอร์) แพร่กระจายข่าวเรื่องโรคระบาดและยารักษาแบบผิดๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ส่งผลให้เกิดความกลัวและความปั่นป่วนขึ้นทั่วโลก

พลอตเรื่องไซไฟเช่นนี้ดูเหมือนกำลังเกิดขึ้นในโลกการเงินเช่นกัน เพราะตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินใน Emerging Markets หรือ EM ก็ไม่ต่างจากเบธ

สกุลเงิน EM ทยอยปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างน่าตกใจ เช่นอาร์เจนตินา (-52%) ตุรกี (-43%) แอฟริกาใต้ (-20%) และ อินโดนีเซีย (-9%) สร้างความกังวลว่านี่จะเป็น EM Contagion หรือไม่ เพราะความเป็นไปได้ก็มี และอดีตก็เคยเกิดขึ้น นักลงทุนและผู้ประกอบการชาวไทยอย่างเรา จึงต้องมองให้ออกว่าครั้งนี้เป็นวิกฤตหรือโอกาสของตลาดทุนและตลาดเงิน

EM Contagion ภาคแรกคือในช่วงปี 1997 ถึง 2002 วิกฤติเริ่มก่อตัวที่สาธารณรัฐเช็ก ลามมาที่ไทยและเอเชียปี 1997 ติดต่อไปยังรัสเซียปี 1998 ตุรกีในปี 2000 บราซิลและอาร์เจนตินาในปี 2002 เศรษฐกิจโลกชะลอตัวทันที แต่ครั้งนี้ผมมองว่า “ไม่เหมือนกัน” ด้วยเหตุผลหลายอย่าง

ข้อแรก แหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างระบบ “อัตราแลกเปลี่ยนคงที่” ถูกเลิกใช้ไปแล้ว

การใช้ค่าเงินคงที่ จริง ๆ ก็คือการเอาความผันผวนไปเก็บไว้ที่อื่นที่คนเห็นน้อย พอเกิดปัญหา ไม่แปลกที่ตลาดจะกลัวเพราะไม่เคยได้รับข้อมูล แต่ตอนนี้เราใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยน “ลอยตัว” คือเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของตลาด แม้ความกลัวไม่หายไปทั้งหมด แต่การกระจายก็จะน้อยและช้าลง

ข้อสอง เรื่องการขาดดุลการค้าและการคลัง (Twin Deficits) น่ากลัวน้อยกว่าปี 1997 มาก

เพราะประเทศใน EM ส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้งบประมาณขาดดุลมากเช่นในอดีต ล่าสุด IMF ชี้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ EM ไม่รวมจีน ขาดดุลโดยรวมเพียง 0.7% ต่อจีดีพี ซึ่งน้อยกว่าระดับ 1.6% ในช่วงปี 1996 อยู่พอสมควร แถม “โรคใช้เงินเกินตัว” ก็เป็นโรคที่รักษากันได้ด้วยนโยบายการเงิน และการคลังที่เข้มงวด ความกลัวเรื่องนี้จึงถือว่ามากเกินไป

ข้อสาม คือความกลัวว่าค่าเงินที่อ่อน จะทำให้หนี้ต่างประเทศขยายตัว และการผิดนัดชำระหนี้จะเกิดเป็นโดมิโน่ แต่ที่จริงทั้งหนี้และดอกเบี้ยรอบนี้ก็ไม่ได้สูงกว่าในอดีต

รายงานล่าสุดของ IMF ชี้ว่าทั้ง EM ปริมาณหนี้ต่างประเทศรวมอยู่ที่ 30% ของจีดีพี ต่างจากวิกฤติสมัยก่อนที่เริ่มต้นบนระดับ 100% ต่อจีดีพี นอกจากนี้ดอกเบี้ยเฉลี่ยทั่วโลกก็ต่ำกว่าอดีตมาก ถ้าให้จ่ายหนี้เลยตอนนี้คงไม่มีประเทศไหนทำได้ แต่ถ้าให้เวลา โรคนี้ก็ไม่ใช่มะเร็งระยะสุดท้ายที่เกินเยียวยา

ภาพรวมในทางทฤษฎีทั้งหมด บอกได้เลยว่าโอกาสเกิด EM Contagion 2 มีน้อยมาก ไม่ได้หมายความว่าประเทศที่มีปัญหาจะแก้ได้ในเร็วๆนี้ แต่การลุกลามไปทั่วโลกเกิดขึ้นยาก และทางรักษาก็พอมี

โอกาสจึงจะเป็นของประเทศที่เล่นบทมิตช์ คือเป็น EM แต่ไม่ได้ติดโรค เช่นประเทศไทยและค่าเงินบาท

ถ้าเราดูให้ลึก กระแสเงินทุนไหลออกจากความกังวลเรื่องเสถียรภาพของ EM บนตลาดทุนไทยใช่ว่าจะไม่มี ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงตอนนี้ ต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วกว่าสองแสนล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ที่เงินบาทไม่อ่อนค่าแรงในปีนี้ เพราะเงินทุนไหลเข้าในฝั่งตราสารหนี้ที่ใกล้เคียงระดับสองแสนล้านเช่นกัน ภาพรวมเงินเฟ้อที่ต่ำ และสภาพคล่องในระบบที่สูง ทำให้นักลงทุนกล้าพักเงินไว้ที่ไทยแม้จะเป็น EM

นั่นหมายความว่าจุดสำคัญที่สุดของ EM Contagion ครั้งนี้ ไม่ใช่ค่าเงินอ่อน หรือขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง หรือใช้หนี้ต่างประเทศมากไป แต่เป็น “เงินเฟ้อสูงจนคุมไม่อยู่” ดังนั้นการจัดการกับเงินเฟ้อให้ได้น่าจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด

ถึงตรงนี้ถ้าให้สปอยล์ว่าฉากจบน่าจะเป็นอย่างไร และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

ผมเชื่อว่า วิกฤตนี้ควรมีทางออกแบบสงบสุขเพราะไม่ใช่โรคร้ายสายพันธ์ใหม่ที่ไม่มีทางแก้ แต่จะจบเมื่อไหร่ ยังต้องตามดูต่อว่าอลัน หรือข่าวร้ายในตลาดการเงิน จะสร้างความกลัวให้กับนักลงทุนได้นานแค่ไหน ในภาพยนต์ต้องใช้เวลาถึง 500 วัน และเหตุการณ์ในอดีตใช้เวลาแก้กว่า 5 ปีถึงจะสงบ

และถ้า EM Contagion 2 เกิดขึ้นจริง นี่จะเป็นเพียงแค่ฉากแรกของเรื่องเท่านั้น

สุดท้ายขอจบด้วยภาพนี้ครับความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ปี 2018

ที่มา : Bloomberg และ KTB Global Markets

iran-israel-war