ภาษิตที่จะทำให้คุณรู้ทันโลกการเงินในปี 2024

“ภาษิต” หรือคำโบราณว่าไว้มักถูกหยิบยกขึ้นมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

ในตลาดการเงินก็ไม่ต่างกัน เริ่มปี 2024 นี้ ผมจึงขอหยิบ “ภาษิตต่างประเทศ” ที่คุ้นหูในแต่ละเดือน มาวิเคราะห์คู่กับเหตุการณ์ปัจจุบัน และพยากรณ์ให้นักลงทุนรู้ทันตลาดไปพร้อมกัน

มกราคม “As goes January, so goes the year.” บอนด์ยีลด์ทั่วโลกเป็นตัวแปรที่ต้องจับตาที่สุด

ตลาดเชื่อว่า ม.ค. เป็นเดือนที่กำหนดทิศทางของทั้งปีที่จะถึง ย้อนกลับไปในอดีตตั้งแต่ปี 1950 ภาษิตนี้เป็นจริงกว่า 75% แม้ในช่วงหลังปี 2000 ความสัมพันธ์นี้จะลดบทบาทลงมาก นักลงทุนได้ยินแต่ “January Effect” ที่หมายถึงหุ้นขึ้นรับเดือน ม.ค. แทน แต่ทิศทางในเดือน ม.ค. ก็ยังมีความสำคัญที่สุดเดือนหนึ่งของปี

สำหรับปี 2024 จับตาวันที่ 23 ที่จะมีการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ครั้งแรก ตลาดคาดว่า BOJ จะส่งสัญญาณการปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้นรับปีใหม่ อาจเป็นการยกเลิกมาตรการควบคุมยีลด์ (YCC) หรือจบดอกเบี้ยติดลบ (Negative Interest Rate)

ส่วนฝั่งสหรัฐ จะมีการรายงาน Treasury Refunding สำหรับปีนี้ในวันที่ 29 ด้วยการใช้จ่ายภาครัฐสหรัฐปัจจุบันที่สูงกว่า 40%/GDP และระดับหนี้ภาครัฐที่สูงถึง 34 ล้านล้านดอลลาร์ ปริมาณบอนด์ที่ออกใหม่ต้องเพิ่มขึ้นมาก

กุมภาพันธ์ “The Groundhog Day Effect.” จับตาไปที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาจพุ่งขึ้นซ้ำรอยอดีต

เดือน ก.พ. เป็นเดือนที่ไม่มีทิศทางชัดเจน ตลาดการเงินมักมีแนวโน้มที่คล้ายกับช่วงเดือนหรือปีที่ผ่านมาจึงได้ภาษิตนี้มาจากหนังเรื่อง Groundhog Day ที่เล่าเรื่องราวของผู้หญิงที่ตื่นมาวันที่ 2 ก.พ. ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สำหรับปี 2024 วันที่ 24 ก.พ. จะเป็นวันครบรอบสองปีที่รัสเซียบุกยูเครน เป็นคำถามว่า ประเด็นด้านความขัดแย้งทางการเมือง และสงครามจะถูกปลุกขึ้นมาร้อนแรงอีกหรือไม่

มีนาคม “Beware the ides of March.” ความเสี่ยงที่ไม่คาดฝัน การเมือง และทิศทางดอกเบี้ย จะทำให้เงินดอลลาร์ผันผวนสูง

ภาษิตประจำเดือนนี้ อยู่ความเชื่อที่ว่าเดือน มี.ค. มักมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น เช่น 15 มี.ค. วันที่จูเลียส ซีซาร์ ผู้ปกครองโรมันถูกสังหาร หรือปี 2008 วันที่ 15 มี.ค. เป็นวันที่ธนาคาร Bear Stearns ถูกขายให้กับ JP Morgan Chase จุดเริ่มต้นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

ในปี 2024 มีหลายประเด็นที่ต้องติดตาม ไม่ว่าจะเป็นการเมืองสหรัฐที่คาดหมายกันว่าจะร้อนแรงขึ้นในวัน Super Tuesday ที่ 5 มี.ค. เพื่อเลือกตัวแทนของพรรคลงสมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดี

นอกจากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ  (FOMC) ครั้งสำคัญในวันที่ 20 ตลาดคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงิน หรือลดดอกเบี้ย

เมษายน “April Showers Bring May Flowers.” ตลาดหุ้นเอเชียจะฟื้นตัวจากแรงส่งของภาคอุตสาหกรรมโลก

สำนวนเดือนเม.ย. ที่หมายถึงเหตุการณ์ไม่ดีในปัจจุบัน อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคต ใช้เปรียบเทียบกับเดือนเม.ย. ที่ตลาดมักมีความผันผวนเกิดขึ้นก่อนเช่นวิกฤตดอทคอมปี 2000 หรือวิกฤติโควิดปี 2020 ตลาดตกต่ำที่สุดช่วงเดือนนี้ ก่อนที่จะฟื้นตัวด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

เดือนเม.ย. จะมีเป็นช่วงการรายงาน GDP ไตรมาสแรกทั่วโลก ภาพเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แนะนำจับตาไปที่ US ISM Manufacturing PMI ถ้ารายงานหดตัว (ต่ำกว่า 50 จุด) จะเป็นการหดตัวต่อเนื่องนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000

พฤษภาคม “Sell In May And Go Away.” เดือนนี้ต้องระวัง Magnificent Seven

ภาษิต “ขายเดือนพ.ค.” เป็นหนึ่งในภาษิตที่คุ้นหูนักลงทุนที่สุด เตือนว่าแนวโน้มของตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนที่ต่ำในช่วงเดือนพ.ค. ถึงต.ค. มีที่มาจากพฤติกรรมนักลงทุนสมักก่อนที่หยุดพักผ่อน ในปัจจุบันแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับแนวโน้มตลาด

อย่างไรก็ดี สำหรับปีนี้ วันที่ 1-3 จะเป็นวันครบกำหนดการไต่สวนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Google และ Meta เรื่อง Anti-Trust อาจกดดันหุ้นทั้งตลาด เนื่องจากสัดส่วนของ Magnificent Sevenอยู่ในระดับสูงถึงกว่า 30% ของ S&P500

มิถุนายน “Never sell a June Swoon.” จับตาเงินยูโรและหุ้นยุโรปเป็นพิเศษ

สำนวนเดือนมิ.ย. บอกอย่าขายหุ้นแม้ว่าผลตอบแทนจะแย่ เพราะเดือนมิ.ย. เป็นเดือนที่ไม่ดีไม่แย่สำหรับทั้งหุ้นไทยและสหรัฐในอดีต

สำหรับปีนี้ มีการประชุมของทุกธนาคารกลางสำคัญไล่ตั้งแต่ ECB วันที่ 6 กนง. วันที่ 12 FOMC วันที่ 13 และ BOJ วันที่ 14 ทุกที่มีโอกาสปรับนโยบายการเงินช่วงนี้ทั้งหมด ตลาดเชื่อว่าเฟดจะส่งสัญญาณจบ QT ไปพร้อมกัน

นอกจากนั้น วันที่ 6-9 จะมีการเลือกตั้ง European Parliament มีผลกับการกำหนดทิศทางและนโยบายของ EU ในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดคือประเด็นความมั่นคงและยูเครน

กรกฎาคม “The first five days of July.” ต้องจับตาต่อกับทิศทางเงินดอลลาร์ และตลาดหุ้นยุโรป

ภาษิตบนความเชื่อที่ว่าช่วงห้าวันแรกของเดือนจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มหลักของช่วงที่เหลือเป็นเทคนิคง่าย ๆ ในการวิเคราะตลาด แต่สำหรับก.ค. เป็นเดือนที่พบความสัมพันธ์นี้เด่นชัดที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังมองหาทิศทางใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี

ก.ค. นี้วันที่ 26 จะมีการเปิดการแข่งขันระดับโลกอย่าง Paris Olympic 2024 เป็นแรงส่งให้กับทวีปยุโรป และถ้าเฟดไม่ลดดอกเบี้ยแรงไปเสียก่อน เดือนนี้จะเป็นเดือนที่ ส่วนต่างของบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปี และ 3 เดือน จะติดลบต่อเนื่อง 20 เดือน ถือว่าเป็นการติดลบที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ นานกว่าครั้งก่อน คือช่วง Great Depression ปี 1929 สะท้อนความกังวลว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐยังไม่หายไป

สิงหาคม “When The Cats Are Away, The Mice Will Play.” หุ้นสหรัฐฯ จะเป็นตัวแปรกำหนดทิศทางของตลาดการเงิน

ภาษิตของเดือนส.ค. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “แมวไม่อยู่หนูร่าเริง”

ส.ค. มักเป็นเดือนที่นักลงทุนรายใหญ่ลาหยุดพัก ทำให้เป็นเดือนที่สภาพคล่องอยู่ในระดับต่ำ ตลาดจึงแกว่งตัวในกรอบแคบ

อย่างไรก็ดี ความแตกต่างของปีนี้ อยู่ที่การเป็นปีเลือกตั้งสหรัฐ ปรกติจะส่งผลบวกกับอารมณ์ของนักลงทุนรายย่อยมากที่สุด จากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 1872 เดือนส.ค. ในปีเลือกตั้งสหรัฐเป็นเดือนที่ผลตอบแทนเป็นบวกบ่อยที่สุด

ในปีนี้จะมี Democrat National Convention ในวันที่ 19 เราจะเห็นทั้งโอกาสของผลเลือกตั้งและนโยบายของนักการเมืองชัดเจนขึ้น

กันยายน “September Is The Cruelest Month.” ดอลลาร์จะสร้างโอกาสและความเสี่ยงในเดือนนี้

เดือนก.ย. มีคำเตือนว่าตลาดหุ้นมักพบกับความไม่แน่นอน และแรงขายอย่างรุนแรง ภาษิตนี้ถูกย้ำเตือนอีกครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อ S&P500 ปรับตัวลงแรงถึง 4.9%

สำหรับในปีนี้ วันที่ 24 ก.ย. จะมีการประชุมระดับสูงของ UN General Assembly อาจนำไปสู่ข้อตกลงสำคัญระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็เป็นจังหวะที่เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันมาถึง 14 เดือน สถิติในอดีตชี้ว่าเป็นช่วงที่สภาพคล่องจะหยุดไหลเข้า Money Market Fund และอาจกลับมาเข้าหุ้น

ตุลาคม “October Effect.” เดือนแห่งทางแยกของ Emerging Markets

October Effect แม้จะเป็นชื่อเดือนเหมือน January Effect แต่กลับเป็นภาษิตใน “ทิศตรงข้าม” เพราะเป็นการพูดถึงโอกาสที่ตลาดจะมีการปรับฐานแรง เช่นในเหตุการณ์ Black Tuesday ในปี 1929 ตามด้วย Black Monday ในปี 1987 ไปจนถึงวิกฤต Great Financial Crisis ปี 2008 การปรับฐานของตลาดเกิดขึ้นในเดือนต.ค. โดยไม่ทันตั้งตัวทั้งสิ้น

สำหรับปี 2024 เหตุการณ์สำคัญคือการประชุม BRICS Summit ที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพในวันที่ 1

ด้วยจำนวนประชากรกว่า 46% ขนาดเศรษฐกิจราว 37% ของโลก และหลายประเทศกำลังมีความขัดแย้งทางการเมืองและการทหาร ความร่วมมืออาจนำไปสู่ขาขึ้นรอบใหม่ของหุ้น EM แต่ในทางกลับกัน อาจสร้างแรงกดดันด้านการเมืองระหว่างประเทศ บนตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พฤศจิกายน “Remember, Remember, The Fifth Of November.” ดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นสามตัวแปรที่ต้องจับตาไปพร้อมกัน

คำกล่าวสำหระบเดือนพ.ย. เป็นส่วนหนึ่งของบทกวีที่เกี่ยวข้องกับ “Guy Fawkes Night” ในสหราชอาณาจักรที่วางแผนระเบิดรัฐสภาอังกฤษ แต่แผนการนี้ถูกพบและป้องกันได้

ในปีนี้ วันที่ 5 พ.ย. จะเป็นอีกหนึ่งวันที่โลกต้องจดจำ เพราะจะเป็นการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐ

ในอดีต ตลาดการเงินทั่วโลกมักแกว่งตัวแคบก่อนการเลือกตั้ง แต่สถิตินี้เปลี่ยนแปลงไปในการเลือกตั้งสองครั้งหลังสุดในปี 2016 และปี 2020 ที่หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเกิน 5% ในเดือนเดียว และปรับตัวขึ้นต่อ 9-14% สามเดือนถัดไป

และท้ายที่สุด ธันวาคม “Santa Claus Rally.” จบปีที่ธนาคารกลางออกมาให้ความเห็นด้านนโนบายการเงินปี 2025

ธ.ค. เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี โดยเฉพาะในช่วง 7 วันทำการระหว่างหลังวันคริสต์มาสถึงวันปีใหม่

การปรับตัวขึ้นท้ายปีมีเหตุผลสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลคริสมาส การปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงปลายปี ไปจนถึงสภาพคล่องที่ลดลง ในอดีต ธ.ค. จึงเป็นเดือนที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นทั่วโลก

สำหรับปี 2024 จะจบปีด้วยการประชุมของทุกธนาคารกลางสำคัญ ไล่ตั้งแต่ ECB วันที่ 12 BOT วันที่ 18 FOMC และ BOJ วันที่ 19 ทั้งหมดจะเผยแนวโน้มนโยบายการเงินในปี 2025 ให้เห็น

โดยสรุป ช่วงครึ่งแรกของปี ภาษิตมักออกไปในแนวให้กำลังใจ เข้าซื้อเมื่อตลาดปรับฐาน ส่วนภาษิตในช่วงครึ่งหลังของปี มักเป็นคำเตือนให้ระวังการปรับฐานแรง

ปีนี้ ผมมองว่านโยบายการเงินที่ตลาดจับตามากในช่วงครึ่งแรก จะลดบทบาทลง สวนทางกับนโยบายระหว่างประเทศ และความเสี่ยงทางการเมืองที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

ปี 2024 เป็นปีที่ตราสารหนี้ลงทุนได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ได้มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ แต่ในฝั่งของหุ้นทั่วโลก ควรระวังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนโยบายเศรษฐกิจที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนกลุ่มการลงทุน

และถ้าให้ผมเลือกหนึ่งภาษิตสำหรับปีนี้ ผมขอเลือกThe Time To Buy Is When There’s Blood In The Streets” หรือเวลาที่เหมาะสมของการลงทุนปีนี้ คือช่วงเวลาที่ตลาดปรับฐาน ขอให้ทุกคนรู้ทันโลกการเงินปี 2024 นะครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

iran-israel-war