ลงทุนแบบ Thematic อย่างไร เมื่อธีมไหนก็ดูดีไปหมด

ช่วงนี้การลงทุนแบบ Thematic มาแรงจนนักลงทุนแทบทุกคนสนใจอยากลอง

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า “ทุกธีมดูดีไปหมด” หลายท่านจึงเกิดคำถามว่า Thematic Investing นั้น “ดีเกินจริง” ไปหรือไม่ ช่วงเวลานี้ยังเหมาะสมกับการลงทุนไหม เราสามารถเปรียบเทียบโอกาสกับความเสี่ยงของธีมเหล่านี้ได้อย่างไร ไปจนถึงว่าควรปรับพอร์ตแบบไหน เมื่อต้องตัดสินใจลงทุนภายใต้ธีมเหล่านี้

“ทำไมต้อง Thematics”

มองในด้านจังหวะการลงทุน Thematic Investing เป็นแนวคิดการลงทุน Top-Down ที่มักโดดเด่นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เพราะในภาวะปรกติการลงทุนไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน เช่นในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา การทยอยลงทุนแบบหุ้น 60% และบอนด์ 40% บนกองทุนที่อิงกับดัชนีหลักของโลกก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและไม่ติดลบได้เมื่อลงทุนนานเพียงพอ โดยนักลงทุนสามารถวิเคราะห์ Top-Down เป็นรายประเทศ หรือวิเคราะห์ Bottom-up รายบริษัทเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดได้

แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบที่หลากหลาย ทำให้ Bottom-up analysis ทำได้ยากและมีโอกาสผิดสูง เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ Top-Down เป็นรายประเทศหรือทวีป ก็มักถูกบดบังด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เป็นที่มาของความต้องการในการลงทุนแบบ Thematics ที่ตอบโจทย์ด้วยการเน้นลงทุนกับธีมระยะยาว ไม่อ้างอิงกับบริษัทใด หรือเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง

สังเกตได้จากผลตอบแทนของกองทุน Thematics แทบทั้งตลาด ก่อนหน้าวิกฤติมีความเคลื่อนไหวไม่ได้โดดเด่นเลยเมื่อเทียบกับตลาด แต่หลังวิกฤติกลับสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างมหัศจรรย์

เรื่อง “โอกาส” ของการลงทุน Thematics ในอนาคต ควรพิจารณา 3 เรื่องหลัก คือ Conviction Idea, Investability และ Time Frame

แม้ธีมจะดีแต่ก็อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดีถ้านักลงทุนต้องจ่ายแพงเกินพื้นฐานมากไป

การลงทุนในลักษณะนี้ ถ้าไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อ Income หรือสไตล์ Value หรือธีม Sustainability มักเป็นการลงทุนในกลุ่มบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรปัจจุบันไม่สูง (เพื่อหวังการเติบโต) และไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี นักลงทุนสามารถประเมินโอกาสของการลงทุนด้วยการเปรียบเทียบ 3 เรื่อง

1. ความเชื่อมั่นหรือ Conviction ของธีมถ้ายังเป็นธีมที่ถูกถกเถียงว่าจะเป็นอนาคตหรือไม่ถือว่ายังมีโอกาสในการลงทุนอยู่เนื่องจากธีมส่วนใหญ่จะถือว่าใกล้ Fully Priced-in เมื่อนักลงทุนทั้งตลาดเชื่อว่าเป็นอนาคต

2. ต้องมีบริษัทหรือกลุ่มธุรกิจที่สนใจในธีมนี้มากพอที่จะทำให้เกิดทั้งการแข่งขันและ Economy of Scale ยิ่งมีบริษัทผู้นำในธีมมากก็จะยิ่งมี Investability สูงดึงดูดเงินลงทุนให้เข้ามาได้มากขึ้น

3. ระยะเวลาที่ความเชื่อมั่นในธีมนี้จะยังคงอยู่เช่นการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตบริโภครวมไปถึงกฏเกณฑ์ต่าง ๆ โดยประเมิน Time Frame ระหว่างปัจจุบันกับจุดที่เกินกว่า 70% ของอุตสาหกรรมจะปรับตัวไปตามธีมยิ่งระยะเวลานานก็ถือว่ามีโอกาสมาก

นักลงทุนสามารถสร้างตารางเปรียบเทียบสามประเด็นนี้ระหว่างธีมต่าง ๆ เพื่อให้เห็นความแตกต่างได้

ในมุม “ความเสี่ยง” การลงทุนสไตล์นี้ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงอยู่ 6 เรื่องหลัก เป็นเหมือนเงาสะท้อนของโอกาสจากการลงทุน

1. การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเนื่องจากธีมส่วนใหญ่มักลงทุนในประเด็นใหม่หรือ Innovation ทำให้อนาคตการสร้างรายได้ของบริษัทไม่แน่นอนและผันผวน

2. ความสัมพันธ์กับหลายประเทศหลายอุตสาหกรรมเนื่องจากการจะเป็นธีมที่สร้าง Impact ได้ ต้องไม่มีขอบเขตการลงทุน

3. กฏเกณฑ์ในการทำธุรกิจมักเป็นประเด็นที่ต้องระวังเมื่อธีมการลงทุนกระทบกับสังคมหรืออุตสาหกรรมปัจจุบัน

4. การเมืองและมุมมองของสังคมกับการเปลี่ยนแปลงเป็นปัญหาเฉพาะในแต่ละธีมเช่น Robotics ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นการแย่งงานมนุษย์

5. การแข่งกันที่สูงกว่าธุรกิจปรกติจากการเป็นธุรกิจที่เติบโตสูง

6. ความไม่แน่นอนหรือสิ่งที่คิดไม่ถึงที่มากกว่าธุรกิจปรกติ

ส่วนใหญ่ ยิ่งธีมที่มีโอกาสในการลงทุนสูงมีผลกระทบต่อสังคมมาก มักมีความเสี่ยงที่หลากหลายตามมา

ส่วนเมื่ออยู่รวมกันในพอร์ต นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ 3 แบบหลักตามระดับความเชื่อมั่นและความเสี่ยงที่รับได้

1. A Core Satellite Approach เป็นวิธีที่ปรกติที่สุด เสี่ยงน้อยที่สุด โดยนักลงทุนสามารถลงทุนในสัดส่วน 5-15% ก่อนด้วยปริมาณการลงทุนที่ไม่สูงจะไม่ทำให้เป้าหมายหลักของพอร์ตถูกกระทบแต่มีโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มถ้าธีมนั้นได้รับความสนใจจากตลาด

2. New Thematic Alternative คือการปรับพอร์ตด้วยการลงทุนในสินทรัพย์หรือกองทุนที่ประกอบไปด้วยหลากหลายธีมบนสัดส่วนราว 15-30% ของพอร์ตเนื่องจากการรวมกับของธีม จะทำให้ความสัมพันธ์กับตลาดหลักลดลง

3. Thematics as a Core สำหรับนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นใน Thematics Investing และรับความเสี่ยงได้สูง สามารถนำ 4-5 ธีมหลักมาแบ่งสัดส่วนลงในการลงทุนที่เน้นเติบโตของพอร์ตหลังจากนั้นจึงเพิ่มการลงทุนรายประเทศหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเข้าไปในลักษณะ Satellite

โดยสรุป Thematic Investing ไม่ใช่แค่มาแรงในช่วงนี้ แต่อาจเปลี่ยนมุมมองการวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงของการลงทุน รวมไปถึงการจัดพอร์ตในอนาคตไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ดี ระยะสั้นที่การลงทุนแนว Thematics กำลังทยอยทำจุดสูงสุดใหม่นี้ นักลงทุนก็ควรลงทุนอย่างระมัดระวัง และจำไว้เสมอว่าคู่แข่งสำคัญของการลงทุนแบบนี้ก็คือการลงทุนแบบปรกติ และแม้จะเป็นธีมระยะยาว ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องปรับฐาน

เช่นถ้าความผันผวนของตลาดเริ่มปรับลดลง หรือเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นเต็มตัวเมื่อไหร่ นักลงทุนก็อาจขายทำกำไรการลงทุนเหล่านี้ และกลับเข้าสู่การลงทุนปรกติที่ปลอดภัยและเข้าใจง่ายกว่า

หรือถ้าบอนด์ยีลด์และเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ก็อาจน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องรับความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานที่สูงเท่าการลงทุน Thematics ที่สุดท้ายก็ยังมีพื้นฐานเป็นหุ้น

สุดท้าย ต้องคิดเสมอว่าทุกการลงทุนมีจุดแข็งก็ต้องมีจุดอ่อน เมื่อลงทุนในแนวโน้มใหญ่ ก็ต้องระวังจังหวะตลาดเปลี่ยนไปสนใจเทรนด์ใหญ่อื่น ๆ ดั่งที่ Steve Forbes นักเขียนชาวอเมริกัน เจ้าของนิตยสารธุรกิจ Forbes เคยกล่าวว่า

“Everyone is disciplined, long-term investor until the market goes down”

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์