Big VS Little Dragon
ในช่วงนี้ผมเริ่มมองหาการลงทุนแบบ “Semi-Active” ที่จะลงทุนแบบเลือกตลาดหุ้นและหุ้นหรือกลุ่มหุ้นที่จะลงทุนแล้วสามารถถือหุ้นไปได้ยาวนานเป็นปี ๆ และจะปรับเปลี่ยนต่อเมื่อเห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนั้นที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากแนวคิดเดิมอย่างชัดเจนแล้ว และประเทศหรือตลาดหุ้นที่ผมกำลังพิจารณาอยู่มี 2 แห่ง นั่นก็คือ จีนที่ตลาดหุ้นฮ่องกง และ ตลาดหุ้นเวียดนาม เหตุผลใหญ่อยู่ที่ขนาดของประเทศและเศรษฐกิจที่คึกคักและแข่งขันได้ในระดับโลกและอยู่ได้ในระยะยาว เพราะคุณภาพของประชากรที่โดดเด่น

ตลาดหุ้นจีนนั้น มีจุดเด่นมากก็คือ ดัชนีหุ้นตกต่ำต่อเนื่องมานานและราคาหุ้นถูกมาก ดัชนีฮั่งเส็งวันศุกร์ที่ 19 มกราคม 67 อยู่ที่ 15,309 จุด และต่ำกว่าจุดสูงสุดที่ 32,887 จุดที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2018 หรือ 6 ปีมาแล้วถึง 53% นอกจากนั้น ยังเป็นจุดที่ต่ำกว่าดัชนีเมื่อ 23 ปีมาแล้ว พูดง่าย ๆ คนที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงในช่วงปลายปี 2000 และถือมาจนถึงวันนี้แทบจะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น ปีที่แล้วดัชนีติดลบไป “มากที่สุดในโลก” กว่า 20% และนับจากต้นปีนี้ก็ติดลบไปอีก 9% แล้ว

ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น จุดเด่นอยู่ที่การเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงต่อเนื่องยาวนานและแม้แต่ปัญหาโควิด 19 ก็กระทบกับอัตราการเติบโตน้อยและสั้นมาก และดัชนีตลาดหุ้นก็สะท้อนกับภาวะเศรษฐกิจแบบนั้นมาตลอด

เริ่มที่ปี 2019 ดัชนีหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้นในระดับประมาณ 6-7% ปี 2520 ที่โควิดเริ่มระบาดไปทั่วโลกนั้น ดัชนีที่ตกลงแรงในช่วงแรกกลับเพิ่มขึ้นประมาณ 14-15% และพอถึงปี 2521 ก็บูมเต็มที่ตามดัชนีโลกอานิสงส์จากการอัดฉีดเงินของประเทศต่าง ๆ ทำให้ดัชนีเวียดนามปรับตัวขึ้นในระดับ 40% แต่หลังจากนั้นก็ปรับตัวลงอย่างแรงตามตลาดโลกเช่นกัน

ในปี 2022 ที่ติดลบในระดับ 30% ถึงปี 2523 คือปีที่แล้วที่เป็นปีที่ดีมากของตลาดหุ้นอเมริกา ก็ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นประมาณ 12% และล่าสุดตั้งแต่ต้นปีเพียงไม่กี่วัน ดัชนีเวียดนามบวกไปแล้วประมาณ 4-5% และนั่นก็เป็น 5-6 ปีแห่งความคึกคักและมีชีวิตชีวาของตลาดหุ้นเวียดนาม

การวิเคราะห์ในระดับชาติหรือระดับประเทศว่า ระหว่างจีนกับเวียดนามนั้น ใครมีศักยภาพมากกว่ากันในด้านของเศรษฐกิจหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตซึ่งจะส่งผลไปถึงตลาดหุ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องพูดถึงปัจจัย 3 ประการของการเติบโตทางเศรษฐกิจคือ 1) การเพิ่มของประชากร 2) คุณภาพของประชากรที่อาจจะวัดจาก IQ และ EQ หรือวัฒนธรรมของสังคม และ 3) คือระบบการปกครองที่เอื้อหรือไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการทางเศรษฐกิจ

ในส่วนของจำนวนประชากรนั้น เวียดนามได้เปรียบจีนมาก เพราะมีคนถึงเกือบ 100 ล้านคน และยังเพิ่มขึ้น คนทำงานยังเพิ่มขึ้นเร็วและยังไม่แก่ อายุเฉลี่ยอยู่ในวัย 30 กว่าในขณะที่คนจีนนั้นกำลังเริ่มลดลงและแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วเพราะเด็กเกิดใหม่น้อยลงมาก อายุเฉลี่ยของประชากรกว่า 40 ปีขึ้นไปแล้ว และอย่างที่เราพบเห็นบ่อยมากในสังคมที่คนแก่ตัวลงมากนั้น ยากที่เศรษฐกิจจะเติบโตเร็วหรือเร็วแบบเดิมอีกต่อไป

ในเรื่องของคุณภาพของคนนั้น ถ้าพูดถึงระดับ IQ จีนสูงกว่าเวียดนามพอสมควร แต่ในด้านของวัฒนธรรมและเรื่องของคุณค่าที่คนในสังคมยึดถือ ซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญมากในด้านของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ก็พบว่าวัฒนธรรมของเวียดนามนั้นใกล้เคียงกับจีนมาก ดูเหมือนว่าคนเวียดนามจะยึดถือแนวความคิดแบบขงจื้อเหมือนกันที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา นับถือดูแลบรรพบุรุษ ขยันขันแข็งในการทำงาน ว่าที่จริงประเพณีความเชื่อหลาย ๆ อย่างของเวียดนามนั้นแทบจะมาจากจีน

ภาษาเขียนเก่าของเวียดนามนั้นเป็นแนวแบบจีนชัดเจน ศาสนาพุทธแบบเวียดนามก็เป็นแบบเดียวกับจีน เวียดนามใช้ตะเกียบเหมือนจีน และแม้แต่วันปีใหม่เวียดนามก็เป็นวันเดียวกับตรุษจีน ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะในอดีตอันไกลโพ้นที่เวียดนามเคยอยู่ในอาณัติของจีนเป็นระยะ ๆ แต่ละช่วงอาจยาวนานนั้นจะมีส่วนทำให้คนเวียดนามต้องรับอารยธรรมจีนมากน้อยแค่ไหน แต่นั่นก็น่าจะทำให้คุณภาพและความเชื่อของคนเวียดนามไม่ได้แตกต่างจากจีนมาก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เวียดนามอาจจะไม่ได้แพ้จีนมากนักในปัจจัยนี้

ในส่วนของระบบการปกครองนั้น ทั้ง 2 ประเทศต่างก็เป็นคอมมิวนิสต์แต่ต่างก็เปลี่ยนแนวทางการบริหารทางเศรษฐกิจให้เป็นเสรีและใช้ระบบ “ตลาด” โดยที่รัฐบาลไม่เข้าไปแทรกแซงมากนัก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจีนจะเริ่มกลับมาจำกัด “เสรีภาพ” ทางเศรษฐกิจของเอกชนมากขึ้นในขณะที่เวียดนามกลับเปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากขึ้น ดังนั้น ปัจจัยในส่วนนี้ของเวียดนามจึงน่าจะดีกว่าจีน

มองโดยภาพรวมแล้ว การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามต่อจากนี้น่าจะดีกว่าจีนและจะดีกว่าไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยในระยะอาจจะ 10-20 ปีข้างหน้าที่โครงสร้างประชากรของเวียดนามยังไม่เป็นสังคมคนแก่ ในเวลาเดียวกัน ด้วยคุณภาพของคนเวียดนามที่ต้องถือว่าอยู่ในระดับสูงเพราะมี IQ ในระดับพอใช้ได้และมีวัฒนธรรมและยึดถือหลักคำสอนแบบขงจื้อที่เน้นด้านการศึกษาและความรับผิดชอบต่อบรรพบุรุษและการทำงานหนัก และนั่นก็จะทำให้เวียดนามสามารถ “ตามรอยเท้าของจีน” จนถึงจุดที่ทำให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้โดยไม่ติด “กับดัก” คนชั้นกลางอย่างที่ประเทศจำนวนมากเจอ

และนั่นทำให้ผมนึกถึงสัญลักษณ์ของประเทศเวียดนามที่ใช้กันมานานว่าเป็น “Little Dragon” หรือ “มังกรน้อย” คล้ายกับสัญลักษณ์ของจีนที่เป็น “Dragon” หรือ “มังกร” ที่ทรงพลังอำนาจพอ ๆ กับ “อินทรี” ที่เป็นสัญลักษณ์ของอเมริกา และ “หมี” ของรัสเซียในอดีต

ทั้งหมดที่พูดมาของเวียดนามนั้น ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นก็เพิ่งจะเริ่มเมื่อปี 2000 ที่มีการเปิดตลาดหุ้นหลังจากที่มีการ “เปิดประเทศ” ด้วยการประกาศนโยบายปฏิรูป “Doi Moi” ในปี 1986 ที่ทำให้เศรษฐกิจเริ่มเติบโตแบบก้าวกระโดด

ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 100 จุด เป็น 1,182 จุด ในเวลา 23 ปี หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 11% ไม่รวมปันผลซึ่งถือว่าสูงมาก และเป็นสัญลักษณ์ของตลาดในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และถ้าเศรษฐกิจของเวียดนามรวมถึงระบบต่าง ๆ เช่นการปกครองและการบริหารเศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ต่อไป โอกาสที่ตลาดหุ้นจะยังทำผลงานได้ดีในระดับปีละ 10% ทบต้นก็จะสูง

ในกรณีของตลาดหุ้นจีนหรือฮ่องกงนั้น ดูเหมือนว่าการเติบโตของเศรษฐกิจแบบยอดเยี่ยมต่อไปนั้นน่าจะเริ่มมีเครื่องหมายคำถาม เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สังคมจีนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นระบบการปกครองและการบริหารงานด้านเศรษฐกิจก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยโดยเฉพาะการประกาศนโยบายใหม่ของผู้นำคือ “Common Prosperity” หรือการพยายามลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยการลดความมั่งคั่งของคนรวยลง ซึ่งน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงไปมาก

อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีตกต่ำต่อเนื่องมายาวนานและยิ่งตกมากขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ จนทำให้ค่า PE เหลือไม่เกิน 10 เท่า ก็ทำให้หุ้นในตลาดฮ่องกงต่ำมากทั้ง ๆ ที่เป็นตลาดของหุ้นขนาดใหญ่ชั้นดีรวมถึงหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีความสามารถแข่งขันได้ไม่แพ้บริษัทเทคโนโลยีของอเมริกาโดยเฉพาะในตลาดจีนที่มีผู้ใช้มากพอที่จะทำให้มี Economies of Scale และไม่ล้มหายตายจากไปอย่างแน่นอน ดังนั้น โอกาสก็เป็นไปได้ว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้

มีราคาสมกับพื้นฐานของกิจการไม่ยาก โดยเฉพาะถ้ารัฐจีนเริ่มปรับหรือปฏิรูปการดำเนินงานใหม่เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชงักงันในช่วงเร็ว ๆ นี้

ข้อสรุปของผมสำหรับ 2 ตลาดนี้ก็คือ ตลาดเวียดนามนั้นเป็น “ดารา” และโอกาสที่จะเป็นต่อไปนั้นสูงมาก เรียกว่ามี “โมเมนตัม” ที่จะเดินหน้าต่อไป “เต็มร้อย” หรือมากกว่า ราคาหุ้นก็ไม่ได้สูงแต่ก็ไม่ได้ถูกสุด ๆ แต่ในระยะยาวแล้วก็น่าจะไปต่อได้อีกมาก เหตุผลชัดเจนว่าคนยังหนุ่ม มีจำนวนมากใช้ได้ และทุกคนยัง “หิว” ที่จะลิ้มรสของความก้าวหน้าและความมั่งคั่งของประเทศที่เพิ่งจะเปิดขึ้นไม่นาน

สำหรับหุ้นจีนนั้น มีความท้าทายมากในแง่ที่ว่า จีนเองถึงจะมีปัญหามากในช่วงนี้ แต่ศักยภาพของคนสูงมาก และก็คงสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ เหนือสิ่งอื่นใด เทคโนโลยีของจีนไม่แพ้ใครในโลก ถึงจุดหนึ่งก็อาจจะสามารถชดเชยจำนวนคนที่ลดลง ชดเชยอุปสรรคจากระบบการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวย หรือไม่ระบบก็อาจจะเปลี่ยนกลับไปได้เสมอ และเมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง แม้ว่าจะชั่วคราว ดัชนีหุ้นจีนก็อาจจะวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ทำกำไรให้กับนักลงทุน “ผู้กล้า” ได้อย่างงดงามได้

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

iran-israel-war