Dr-Niwes-cash-is-trash01

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคำว่า “Cash is king” ซึ่งแปลว่า  “เงินสดคือราชัน” บางคนก็เรียกว่า “เงินสดคือพระเจ้า”  ความหมายก็คือ  ในยามที่กิจการหรือบุคคล “มีปัญหาทางการเงิน”  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  ขาดสภาพคล่องหรือกำลังใกล้ล้มละลาย  ซึ่งต้องการเงินสดมาใช้จ่ายหมุนเวียนนั้น  เงินสดเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดที่จะเอาตัวรอดได้  และดังนั้น  เงินจึงเปรียบเสมือนกับพระเจ้า  ไม่มีเงินสดก็  “ตาย”   Cash is king นั้นเป็นคำที่พูดกันมากในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศเกิดวิกฤตในช่วงปี 2540 ที่ทำให้กิจการส่วนใหญ่และบุคคลทั่วไปขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง  ในช่วงนั้นใครที่ยังมีเงินสดหรือสภาพคล่องที่ดีอยู่จึงปลอดภัยและได้เปรียบมากในการทำธุรกิจ  อย่างไรก็ตาม  สถานการณ์ในช่วงเร็ว ๆ  นี้เปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม  ธุรกิจและบุคคลธรรมดาส่วนใหญ่มีเงินสดและสภาพคล่อง “ล้น” อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจาก  “เงินสด”  ตกต่ำลง  “ใกล้ศูนย์”  เงินสดไม่เป็นสิ่งที่น่าพิสมัยในขณะที่การลงทุนอื่นโดยเฉพาะในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กำลังวิ่งขึ้นให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีแล้วถึงกว่า 15%  ดังนั้น  ภาพของเงินสดในขณะนี้ก็คือ  “Cash is trash”  หรือเงินสดก็คือ  “ขยะ” ที่  “ไม่มีค่า” ดังนั้น จึงอาจจะมีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนว่าเราไม่ควรถือเงินสดมากนัก  แค่พอมีไว้ใช้จ่ายหมุนเวียนก็พอแล้ว

เรื่องของการถือเงินสดนั้นเป็นประเด็นที่นักลงทุนและ VI จะต้องคิดและคำนึงถึงตลอดเวลา 

โดยทางทฤษฎีแล้ว  การถือเงินสดนั้นก็เพื่อเหตุผลใหญ่ ๆ  3 ประการนั่นก็คือ

หนึ่ง   เอาไว้ใช้จ่ายหมุนเวียนในชีวิตประจำวัน  ส่วนนี้อาจจะถือแค่พอใช้จ่าย 3-6 เดือนก็พอแล้ว

สอง ถือไว้เผื่อในยามฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินโดยไม่คาดคิด  เช่นถ้าเป็นบริษัทก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเช่น คนงานประท้วงหรือเกิดภัยที่ไม่คาดคิดส่วนในคนธรรมดาก็อาจจะเป็นเรื่องของความเจ็บป่วยเป็นต้น  เงินสดส่วนนี้จะมากหรือน้อยคงเป็นเรื่องของแต่ละคนแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มากมายนัก

และข้อสามสำหรับเหตุผลในการถือเงินสดก็คือ  การ  “เก็งกำไร”  ในกรณีที่เกิด “โอกาสในการทำกำไร” ขึ้น  ถ้าเป็นเรื่องของบริษัทก็อาจจะเป็นการซื้อวัตถุดิบที่อาจจะมีราคาต่ำลงมาตุนไว้ใช้หรือในกรณีบุคคลธรรมดาก็อาจจะเป็นเรื่องของการลงทุนในทรัพย์สินหรือหลักทรัพย์ที่มีราคาถูกที่ถูกเสนอขายหรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์  โดยที่จำนวนเงินสดที่ถือในส่วนนี้น่าจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดทรัพย์สินต่าง ๆ  และหุ้นในตลาดว่าเป็นอย่างไร

วอเร็น บัฟเฟตต์ น่าจะเป็น “สุดยอด” ของนักลงทุนที่สามารถค้นหาการลงทุนโดยเฉพาะในหลักทรัพย์ได้มากมายกว่าคนอื่น  แต่เขาเองกลับมักจะไม่ได้ลงทุน 100% ในหุ้น  เขามีการลงทุนในตราสารการเงินอื่นโดยเฉพาะพันธบัตรไม่น้อยแม้ว่าพันธบัตรหลายชุดจะอิงอยู่กับหุ้นหรือแปลงเป็นหุ้นได้  สิ่งที่คนอาจจะไม่รู้ก็คือ  บัฟเฟตต์เองนั้นมักจะถือ  “เงินสด”  เป็นจำนวนมาก  ว่ากันว่าเขาจะต้องถือเงินสดตลอดเวลาในปริมาณที่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือ 350,000 ล้านบาท  เพื่อที่จะได้พร้อมที่จะเข้าซื้อกิจการหรือหุ้นที่เขาสนใจเพื่อลงทุนแม้ว่าเม็ดเงินสดจำนวนมหาศาลนี้มักจะให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นโดยทั่วไปมาก  ดังนั้น  ในสายตาของบัฟเฟตต์แล้ว  เงินสดนั้นไม่ใช่  “ขยะ” แน่นอน   บัฟเฟตต์เชื่อว่าโอกาสของการลงทุนที่ดีที่จะเข้ามานั้นมีอยู่ตลอดเวลา  เขาจะต้องพร้อมที่จะฉกฉวยมันได้ทันที  และนี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับการเสียโอกาสจากผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินสด

ส่วนตัวผมเอง  และอาจจะรวมถึง VI จำนวนมาก

ในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 20 ปีนั้น  ผมแทบจะไม่ได้ถือเงินสดเลย  ตั้งแต่เข้าลงทุนในตลาดเต็มที่จนถึงเมื่อ 2 ปีก่อน  โดยส่วนใหญ่แล้วผมถือเงินสดไม่เกิน 1% เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเผื่อเหตุฉุกเฉิน  ที่เหลืออยู่ในหุ้นเกือบทั้งหมดและมีทรัพย์สินที่จับต้องได้อื่นเช่นที่ดินและรถยนต์น้อยมาก  ผมคิดว่าหุ้นที่มีราคาถูกมีมากและ “หาได้ง่าย”  บางช่วง  “เต็มตลาด”  ทุกครั้งที่มีเงินสดเพิ่ม  อาจจะเนื่องจากรายได้จากการทำงานประจำ  เงินจากปันผล  หรือการขายหุ้นบางตัว  ผมก็จะรีบซื้อหุ้นตัวใหม่ได้ทันที  ว่าที่จริงผมเรียกมันว่าเป็นการ  Switch หุ้น หรือเปลี่ยนตัวหุ้นมากกว่า  แต่เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา  ผมก็รู้สึกว่าการหาหรือเลือกหุ้นลงทุนที่ถูกมากหรือคุ้มค่าและไม่เสี่ยงเกินไปนั้นยากขึ้นทุกที

ดังนั้น  เมื่อผมได้รับปันผลหรือขายหุ้นบางตัวไปและได้เงินสดมา  ผมก็ไม่ได้ใช้มันในการซื้อหุ้นใหม่เท่าที่ควร  เงินสดผมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผลก็คือ  ภายในเวลา 2 ปี  เงินสดของผมก็สูงขึ้นจนถึงเกือบ 40%  ของพอร์ตโดยรวม

เงินสดจำนวนมากที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1-2% ต่อปีนั้นไม่ได้เป็นปัญหากับผมในปีที่แล้วที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบประมาณ 11% รวมปันผล  และพอร์ตหุ้นโดยรวมของผมก็ให้ผลตอบแทนเพียง 1-2% เช่นเดียวกัน  แต่ในปีนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไป  ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นมากกว่าที่ผมคิด  ไม่มีช่วงหุ้นลงหนักที่จะทำให้ผมสามารถช้อนซื้อหุ้นได้ในราคาถูก  พอร์ตเกือบ 40% ของผมอยู่ในเงินสดซึ่งให้ผลตอบแทนเหลือ 1% ในขณะที่ตลาดให้ผลตอบแทนไปแล้วกว่า 15%  ดังนั้น  ถ้าผมจะเอาชนะตลาดได้ในปีนี้  พอร์ตหุ้นของผมจะต้องทำได้ดีกว่าตลาดมาก  อาจจะต้องทำให้ได้ถึงเกือบ 30% เพื่อที่ผลตอบแทนรวมของผมจะได้เท่ากับผลตอบแทนของตลาด  และนี่ก็คือความเสี่ยงของการถือเงินสด  นั่นก็คือ  ถ้าตลาดหุ้นดีไปเรื่อย ๆ  การถือเงินสดจะเป็นการถือ  “ขยะ”  หรือ Cash is trash

ถ้าจะถามว่าหุ้นโดยส่วนรวมในช่วงเร็ว ๆ  นี้มีราคาแพงเกินพื้นฐานหรือไม่ ที่ทำให้ผมไม่ซื้อหุ้น? 

คำตอบของผมก็คือ  “ไม่ใช่”  ผมเองคิดว่าหุ้นในขณะนี้มีราคาที่ ยุติธรรม” โดยเฉพาะถ้าเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากหลักทรัพย์อื่น ๆ  ในตลาดและอสังหาริมทรัพย์    แต่ถ้ามองจากมุมมองระยะยาวแล้ว  ราคาหุ้นในระดับนี้ก็ต้องถือว่าแพงด้วยค่า PE ประมาณ 20 เท่าเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 10 เท่าต้น ๆ    และดังนั้นการลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้แล้วถือระยะยาวสำหรับผมแล้วมันอาจจะไม่มี Margin of Safety หรือไม่มีความปลอดภัยเท่าที่ควร  มีโอกาสขาดทุนได้ในสถานการณ์ที่เลวร้าย  ถ้าจะสรุปในภาพใหญ่ก็คือ  ผมคิดว่าทรัพย์สินทุกอย่างในช่วงเวลานี้ล้วนแต่แพงเหมือน ๆ  กัน  และดังนั้นผมจึง  “รอ”   รอโอกาสที่จะได้ซื้อของถูกเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน  พูดอีกแบบหนึ่ง  ผมกำลัง  “เก็งกำไร” ซึ่งโอกาสถูกและผิดพอ ๆ  กัน

เงินสด ยังทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือมัน ช่วยรักษามูลค่าความมั่งคั่งของเราให้  “คงที่” ไม่ลดลงโดยเฉพาะในช่วงเวลาไม่ยาวมาก   หลังจากที่ลงทุน “เต็มตัว” มา 20 ปี และมีความมั่งคั่งในระดับที่ “ไม่อาจคาดคิดได้ในชีวิต”  ผมเองก็รู้สึกว่านั่นอาจจะเป็นเพราะผม “โชคดี”  ที่เกิดถูกที่ถูกเวลาประกอบกับมีความรู้ความสามารถที่พอใช้ได้  แต่โอกาสแบบนี้อาจจะสิ้นสุดลงแล้ว  ผมจะหวังทำได้ซ้ำนั้น “เป็นไปไม่ได้”  สิ่งที่ผมควรจะทำมากกว่าก็คือพยายามรักษาระดับความมั่งคั่งนี้ไว้ซักระยะหนึ่งก่อนที่จะเริ่มเดินทางต่อไปในเส้นทางที่ไม่ได้ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ” แต่ “เต็มไปด้วยก้อนกรวด” ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่ปกติสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น   และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมถือเงินสดมากในช่วงนี้  นั่นก็คือ  รักษาความมั่งคั่งที่น่าพึงพอใจไว้ให้ปลอดภัย นกว่าสถานการณ์จะเอื้ออำนวยต่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจริง ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรแต่ก็คิดว่าวันหนึ่งมันก็จะเกิดขึ้น

คำถามสุดท้ายที่ผมเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ล่วงหน้าก็คือ  ถ้าหุ้นไทยยังคงขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ  และอัตราดอกเบี้ยก็ยังไม่ขึ้นซักทีผมจะทำอย่างไร?  คำตอบก็คือ ผมคงต้องประเมินสถานการณ์และราคาหุ้นที่ผมสนใจไปเรื่อย ๆ  บางทีถ้าผมยังไม่พอใจกับราคาของหุ้นไทย  ผมอาจจะต้องพิจารณาตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้น  การตัดสินใจนั้นอาจจะเร็วมาก  การ “เปลี่ยนใจ” อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  สิ่งที่ผมต้องตระหนักเสมอก็คือ เราต้องไม่ถูก “บีบ”  ให้ตัดสินใจด้วยอารมณ์และความรู้สึก  ทุกอย่างควรมีเหตุผลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับเรา

ที่มาบทความ : http://www.thaivi.org/cash-is-trash/