โคมไฟสามดวง

กฎแห่งความมั่งคั่งต่อไปนี้ถ้าคนรู้และปฏิบัติตามเขาก็จะต้องร่ำรวยหรือมั่งคั่งขึ้น การที่จะร่ำรวยเท่าไรนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้เองทั้งหมด บางคนไม่ต้องทำอะไรก็ร่ำรวยได้ บางคนทำแทบตายก็ไม่รวย เพราะความร่ำรวยนั้นขึ้นอยู่กับ “ดวง” เช่นเดียวกับความสามารถและความพยายามของเจ้าตัว สองอย่างนี้เกื้อกูลกัน ถ้าอาศัยดวงหรือ “โชค” อย่างเดียว โอกาสรวยก็ยาก เช่นเดียวกัน คนที่มีแต่ความสามารถและความพยายามเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่มี “โชค” เลยนั้น บางทีก็รวยได้ยาก คนที่จะรวยได้มาก ๆ นั้น ส่วนใหญ่ก็น่าจะต้องมีทั้งโชคและความสามารถและความพยายาม คำว่า “โชค” ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าโชคดีถูกลอตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงโชคดีที่เกิดมารวย โชคดีที่เกิดมาฉลาด หรือโชคดีที่เกิดที่อเมริกา หรือแม้แต่โชคดีที่เกิดมามียีนส์แข็งแรงทำให้อายุยืน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นโชคดีทั้งสิ้นเพราะเราไม่ได้ทำหรือไม่ต้องทำ มัน “บังเอิญ” เกิดขึ้น

จินตนาการว่าทุกคนต่างก็มีโคมไฟวิเศษ 3 ดวงและเจ้าของเปิดไฟเพื่อให้เกิดแสงสว่าง ความสว่างที่เกิดจากไฟสามดวงรวมกันนั้นยิ่งสุกใสเท่าไร เจ้าของก็ยิ่งรวยเท่านั้น นี่คือกฎ

ความสว่างสุกใสของโคมไฟแต่ละดวงนั้นขึ้นอยู่กับ 2 สิ่งนั่นคือ หนึ่งคือ “โชค” และสองคือการ “ปรับ” โคมไฟของเจ้าของ ในการปรับโคมไฟนั้น บางครั้งเราก็ต้องอาศัย “ความพยายาม” อย่างมาก แต่บางทีเราก็ต้องอาศัย “กลยุทธ์” ที่ดี ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้ว โคมไฟทั้ง 3 ดวงเป็นโคมไฟที่ “กึ่งปรับแสงได้” ความหมายก็คือ ความสว่างของแต่ละดวงนั้นเริ่มต้นไม่เท่ากันแต่ก็สามารถปรับได้ในระดับหนึ่ง

เริ่มที่โคมดวงที่ 1 นี่คือเงินทุนเริ่มต้น

เงินนี้มีที่มาจาก 2 แหล่ง แหล่งแรกก็คือเงินมรดกหรือเงินที่มีคนให้มาเป็นของขวัญ ใครที่ได้เงินจากแหล่งนี้มาก ความสุกสว่างของโคมก็มาก เงินจากแหล่งนี้โดยปกติเราได้มาเพราะโชค เช่น เราเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยหรือเราถูกล็อตเตอรีรางวัลที่ 1 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีคนไม่มากที่โชคดี ดังนั้นถ้าเราโชคไม่ดีก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเงินจากแหล่งที่ 2 ก็คือเงินที่เราทำมาหาได้และเก็บออมไว้ เงินจากแหล่งนี้มีความสำคัญมาก และถ้าเราเก็บออมได้มากเท่าไร โคมไฟก็สุกสว่างขึ้นเท่านั้น

วิธีการปรับโคมไฟดวงแรกก็คือ เราอาจจะพยายามแต่งงานกับคนรวย วิธีนี้สะดวกมากที่จะทำให้โคมไฟสุกสว่างแต่สำหรับหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องพูดถึงคนที่แต่งงานไปแล้ว อีกวิธีหนึ่งก็คือการทำงานหนัก ทำงานฉลาดและเก็บออมให้มาก กฎง่าย ๆ อย่างหนึ่งก็คือ ต้องเก็บออมอย่างน้อย 15% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เราอย่างน้อยก็สามารถเกษียณอย่างไม่ลำบาก ยิ่งเก็บมาก ไฟก็สว่างขึ้น

โคมไฟดวงที่สอง นี่คือผลตอบแทนเงินต้นหรือเงินลงทุนของเรา

ยิ่งผลตอบแทนสูง แสงไฟก็สุกสว่างขึ้น แต่เรื่องนี้เราต้องมีกลยุทธ์และการดำเนินการที่ดี ซึ่งก่อนที่จะทำ เราต้องรู้ว่าทรัพย์สินแต่ละอย่างนั้นในระยะยาว 10-20 ปีแล้วมันจะให้ผลตอบแทนเท่าไรต่อปี ตามประวัติศาสตร์แล้ว ทองให้ผลตอบแทนที่ต่ำที่สุด ให้ผลตอบแทนเพียงปีละ 2-3% เช่นเดียวกับเงินฝากธนาคารที่ให้ผลตอบแทนพอ ๆ กับอัตราเงินเฟ้อระยะยาวเท่านั้น พันธบัตรและหุ้นกู้ให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 4-5% กองทุนรีทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 7-8% และหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น แต่ถ้าเราลงทุนแบบ VI เราอาจจะได้ผลตอบแทน 12-20% ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา

การปรับโคมดวงที่สองนั้นมีหลากหลายวิธี วิธีแรกคือ นำเงินทั้งหมดฝากในธนาคาร นี่เป็นกลยุทธ์ของคนที่ไม่รู้เรื่องการเงินอย่างสิ้นเชิง เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้แสงไฟริบหรี่ที่สุด วิธีที่สองก็คือ เราลงทุนโดยใช้หลักบริหารการเงินส่วนบุคคลสมัยใหม่ที่ลงทุนบางส่วนในหุ้น บางส่วนในพันธบัตร และบางส่วนเก็บเป็นเงินสด เช่น เราเอา 80 ลบอายุของเราได้เท่าไรก็นำตัวเลขนี้มาเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินที่เราจะลงทุนในหุ้น จากนั้น เราก็กันเงินสดออกมา 5-10% ที่เหลือก็เอาไปลงในพันธบัตร เป็นต้น วิธีนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ให้แสงที่สุกสว่างปานกลางและเหมาะกับคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูงแต่ต้องการผลตอบแทนที่ดีพอสมควร วิธีที่สามก็คือ การลงทุนเงินทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ในกองทุนหุ้นที่อิงดัชนีตลาด วิธีนี้เราจะได้ผลตอบแทนปีละประมาณ 8-10% แบบทบต้น ซึ่งทำให้มันเป็นกลยุทธ์ที่ให้แสงที่สุกสว่าง ในระยะสั้นอาจจะดูว่ามันเสี่ยงเพราะดัชนีหุ้นขึ้นลงรุนแรงปีต่อปี แต่ในระยะยาวแล้ว ความเสี่ยงกลับต่ำและผลตอบแทนสูง

วิธีที่สี่คือการลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยใช้หลักการ VI และเน้นการลงทุนในหุ้นน้อยตัว อาจจะ 5-10 ตัวหลัก ๆ เฉพาะที่เป็นซุปเปอร์สต็อก นี่เป็นกลยุทธ์ที่ผมใช้ในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา แต่กลยุทธ์นี้เหมาะสมเฉพาะกับคนที่เป็น VI ที่มุ่งมั่น และถ้าโชคดี เราก็อาจจะรวยได้ในระยะยาว และนี่ก็คือกลยุทธ์ที่จะปรับแสงไฟให้สุกสว่างมาก วิธีสุดท้ายก็คือการใช้หลักการลงทุนแบบ VI ที่เน้นเก็งกำไรและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเช่น 2-3 ตัวในแต่ละช่วงเวลา โดยที่ลงทุนด้วยเงินร้อยเปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้นโดยการใช้มาร์จิน ส่วนหุ้นที่เล่นนั้นเป็นหุ้นตัวเล็กและเป็นหุ้นเก็งกำไรสูง นี่คือกลยุทธ์ที่ปรับแสงไฟให้สุกสว่างสุดยอด แต่มันอาจจะเหมาะสมเฉพาะกับ VI ที่ยังมีอายุไม่มากสามารถรับความเสี่ยงสูงได้ คนที่ใช้กลยุทธ์นี้อาจจะสามารถร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม มันเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะหลอดไฟอาจจะ “ระเบิด” แทนที่จะรวยอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะหมดตัวได้

โคมไฟดวงที่สามคือ ระยะเวลาของการลงทุน

ยิ่งมีเวลาลงทุนยาว ไฟก็ยิ่งสุกสว่าง และก็เช่นเดียวกับโคมไฟดวงอื่น มันขึ้นอยู่กับโชคด้วย เพราะบางคนอาจจะเกิดมาสุขภาพดีอายุยืนเพราะยีนส์ของตนเอง ซึ่งทำให้มีเวลาลงทุนยาวกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม เราอาจจะสามารถปรับให้ไฟดวงนี้สุกสว่างขึ้นได้หลายวิธีเช่น เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อยจะได้มีเวลาลงทุนยาวขึ้น เราต้องลงทุนอยู่ตลอดเวลาไม่หนีออกจากตลาดไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง และสุดท้าย เราต้องรักษาสุขภาพโดยการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายสม่ำเสมอซึ่งจะทำให้เราอายุยืนขึ้น มีเวลาลงทุนยาวขึ้น

คนที่มีโคมไฟวิเศษทั้ง 3 ดวงสุกสว่างมาก เขาต้องรวยอย่างแน่นอน ส่วนคนที่โคมไฟทั้งหมดริบหรี่ เขาไม่มีทางรวย วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น มีโคมดวงแรกสว่างปานกลางคือมีเงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 1 ล้านเหรียญ แต่โคมดวงที่สองนั้นเจิดจรัสมาก คือได้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีถึงปีละ 20% และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ โคมดวงที่สามของเขานั้นยิ่งสุกสว่างคือ เขาลงทุนต่อเนื่องกันถึง 60 ปี นั่นทำให้เงินเพียง 1 ล้านเหรียญของเขากลายเป็น 60,000 ล้านเหรียญ เช่นเดียวกัน แอนน์ ไชเบอร์ นั้น มีโคมไฟดวงแรกที่ริบหรี่เพียง 5,000 ดอลลาร์ แต่โคมไฟดวงที่สองสุกสว่างมากคือทำผลตอบแทนได้ปีละ 18% แบบทบต้น น้อยกว่าบัฟเฟตต์เพียงปีละ 2% เช่นเดียวกับโคมไฟดวงที่สามที่มีเวลาลงทุนถึง 50 ปี ทั้งที่เธอเริ่มลงทุนเมื่ออายุ 51 ปี นั่นทำให้เงินเพียง 5,000 กลายเป็น 22 ล้านเหรียญ

นักลงทุน “ธรรมดา” ที่มีความมุ่งมั่นสูงนั้นสามารถที่จะเพิ่มความสุกสว่างของโคมไฟแต่ละดวง ถ้าเขาสามารถเก็บออมเงินในชีวิตของเขาได้ 5 ล้านบาทซึ่งผมคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง นำมาลงทุนทั้งหมดในกองทุนรวมหุ้นอิงดัชนีได้ผลตอบแทนปีละ 10% ซึ่งผมคิดว่าคงได้ไม่ยาก และลงทุนเป็นเวลา 50 ปี ซึ่งผมคิดว่าไม่ยากถ้าอายุเขาอยู่ในช่วง 30-40 ปี ในวันที่เขาเลิกลงทุนนั้น เขาจะมีเงินเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่าคือมีเงิน 500 ล้านบาท และนั่นเป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงไม่ใช่ความฝัน ทั้งหมดนั้นอาศัยวินัยและความมุ่งมั่น แต่ถ้าเขามีความสามารถลงทุนแบบ VI และได้ผลตอบแทนถึงปีละ 15% แบบทบต้น เงินจะเพิ่มขึ้นถึง 1,000 เท่า ก่อนตายมีเงินถึง 5,000 ล้านบาท และนี่ก็คืออิทธิพลของโคมไฟวิเศษที่เราจะต้องตระหนักและคอยปรับแสงของมันตลอดเวลาเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งของเราโดยที่ไม่เสี่ยงเกินไป

ที่มาบทความ : http://www.thaivi.org/โคมไฟสามดวง