จุดเปลี่ยนของชีวิต

เส้นทางชีวิตของคนโดยทั่วไปนั้นมักจะถูกกำหนดล่วงหน้าไว้พอสมควรตั้งแต่เกิด  สำหรับคนไทยหรือคนที่อยู่ในประเทศไทยในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมานั้น  ดูเหมือนว่าความเป็นอยู่หรือความเจริญก้าวหน้าของคนน่าจะดีขึ้นมาก  แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัว “ชั้นล่างสุด” หรือครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคนอื่นในสังคม  โอกาสที่คุณจะเกษียณอย่างสบายหรือร่ำรวยก็น่าจะมีน้อย  ว่าที่จริงถ้าคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น  ก็มีโอกาสสูงที่คุณก็ยังอยู่ใน “ระดับล่าง” ทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่ดี  การเปลี่ยนแปลง  “ระดับชั้น” นั้นไม่ง่ายโดยเฉพาะในสังคมที่หลาย ๆ  เรื่องในชีวิตต้องอิงหรืออาศัยระดับชั้นของครอบครัวอยู่มากอย่างในประเทศไทย

การที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นมากแบบก้าวกระโดดนั้น  ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับการที่เราเจอ  “จุดเปลี่ยนของชีวิต”  หรือ “สร้าง” มันขึ้นมาแล้วเราก็มุ่งหน้าเดินไปในเส้นทางนั้นอย่างมุ่งมั่น  ซึ่งมันจะนำทางไปสู่ชีวิตใหม่ที่เราจะดีขึ้น  รวยขึ้น  และได้รับการยอมรับมากขึ้น  ยิ่งเรามีจุดเปลี่ยนมากเราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า   ในขณะที่คนที่ไม่ได้พบกับจุดเปลี่ยนของชีวิตเลย  ทุกอย่างเป็นไปตาม  “ครรลอง”  หรือรูปแบบมาตรฐานของสังคม  ชีวิตเขาก็จะโตไปตามกระแสเหมือนกับคนส่วนใหญ่   โอกาสก้าวหน้าขึ้นในระดับชั้นของสังคมมีน้อยในขณะที่โอกาสถอยหลังนั้นกลับสูงกว่า  เหตุเพราะมีคนที่สามารถเปลี่ยนชีวิตตนเองขึ้นมาอยู่ข้างหน้ามากขึ้น

ผมเองน่าจะพูดได้ว่าเกิดในครอบครัวที่อยู่ชั้นเกือบจะล่างสุดของสังคม  พ่อแม่เป็นผู้อพยพชาวจีนที่ไร้การศึกษาและงานที่ทำได้อย่างเดียวก็คือการใช้แรงงานเป็นช่างก่อสร้าง  ไม่ใช่เรื่องราวประเภท “เสื่อผืนหมอนใบ” ที่สร้างตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าสัวได้ในชั่วอายุของตนเอง  ผมเองเคยศึกษาดูแล้วพบว่าชีวิตของคนรวยที่มาจากจีนโพ้นทะเลนั้น  ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดต่างก็มี “ต้นทุน” ทั้งเรื่องเงิน  ความรู้และคอนเน็คชั่นในการที่จะทำธุรกิจในประเทศไทยและ/หรือต่างประเทศตั้งแต่ต้น  ผู้อพยพโพ้นทะเลหลังสงครามโลกครั้งที่สองในช่วงก่อนการปฏิวัติสังคมนิยมในจีนส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนที่ “ลี้ภัยทางเศรษฐกิจ” เพราะที่บ้าน “ไม่มีอะไรจะกิน”  ดังนั้นโอกาสของผมที่จะ “เปลี่ยนชีวิต” ก็คงจะยากอยู่ไม่น้อย

จุดเปลี่ยนชีวิตของผมและคงจะของคนจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยที่อยู่ในสังคมระดับล่างสุดที่ผมเห็นก็คือเรื่องของการศึกษา  ในปัจจุบันผมไม่รู้ว่าต้นทุนในการเรียนจนจบในระดับอุดมศึกษานั้นเป็นอย่างไร  คนชั้นล่างที่สุดสามารถเรียนได้หรือไม่ถ้าเขามีศักยภาพในการเรียนพอ  แต่ในยุค 50-60 ปีที่แล้วดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่  “เป็นไปได้”  เพราะค่าเทอมในโรงเรียนของรัฐทุกระดับนั้นต่ำมาก  นอกจากนั้นเราไม่เคยต้องจ่ายเงินค่ากิจกรรมหรืออะไรอย่างอื่นเลยนอกจากค่าสบู่หนึ่งก้อนหรือแก้วน้ำหนึ่งใบที่เรานำไป “จับฉลาก” ในวันปีใหม่หรือวันเด็กผมก็จำไม่ได้

ที่จริงผมเองก็คงไม่ได้เรียนหนังสือเกินชั้นประถมปีที่ 7 ในสมัยนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นลูกคนสุดท้องซึ่งทำให้ครอบครัวสามารถส่งเสียให้เรียนต่อได้จนจบปริญญาตรี  และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนของชีวิตที่สำคัญที่สุดของผม  การเรียนจบปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมที่เป็นที่ต้องการมากในช่วงที่ประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่นั้น  ทำให้ผมสามารถหาและเก็บเงินได้  ผมเลือกงานที่ให้เงินเดือนปานกลางแต่สามารถเก็บเงินได้มากเพราะมันอยู่ต่างจังหวัดที่เป็นชนบทไม่มีที่ใช้เงินและโรงงานมีที่อยู่และอาหารให้กิน 3 มื้อ  รายจ่ายสำคัญของผมก็คือค่ารถทัวร์เดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพสัปดาห์ละวัน  ของที่ต้องซื้อหลักก็คือสบู่กับยาสีฟัน  เงินที่ผมเก็บได้นั้น  ผมไม่ได้นำไปลงทุนอะไรนอกจากฝากแบ้งค์  เหตุผลเพราะผมไม่เข้าใจเรื่องของตลาดหุ้นที่เพิ่งจะเปิดในขณะนั้น  การเล่นหุ้นในสายตาผมยังเป็นเรื่องของนักเก็งกำไรหรือนักการพนันซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ  ในยุคนั้น

เงินที่ผมเก็บออมหลังจากใช้จ่ายส่วนตัวและจ่ายให้ที่บ้านทุกเดือนเป็นเวลา 6 ปีนั้น  ในที่สุดมันถูกนำไป  “ลงทุนเรียน” ต่อทั้งปริญญาโทในประเทศและเอกในต่างประเทศซึ่งก็ใช้เงินน้อยมากคือเป็นค่าเครื่องบินเดินทางไป  ส่วนค่าเรียนและกินอยู่นั้น  โชคดีที่ว่าผมสามารถขอทุนไปช่วยอาจารย์ทำงานทำให้ไม่ต้องใช้เงินตัวเองเลย  ผมเรียนต่อเพราะคิดดูแล้วผมคงไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตด้วยการทำงานเป็นวิศวกรในต่างจังหวัดหรือแม้แต่ย้ายเข้าทำงานในกรุงเทพ  ผมอยากหาจุดเปลี่ยนของชีวิต

หลังจากได้ปริญญาเอกทางการเงินและกลับประเทศไทยเมื่ออายุ 32 ปีโดยที่ยังแทบไม่มีเงินเก็บเลย  ผมก็เปลี่ยนมาทำงานการเงิน  ผมหวังว่าชีวิตอาจจะเปลี่ยนได้  แต่การแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป  ความกล้าเสี่ยงของตัวเองลดลงมาก  ความคิดที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือการลงทุนทำธุรกิจที่เคยฝันและทำมาตั้งแต่เด็กหดหายไปมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือถึงอยากทำก็ไม่รู้จะทำอะไร  การเรียนยิ่งสูงก็ยิ่ง “ล้างสมอง” เราว่าโอกาสประสบความสำเร็จนั้นมีน้อย  ยิ่งอยากได้เงินมากก็ต้องยิ่งเสี่ยงมาก  ดังนั้น  กว่าสิบปีที่อยู่ในแวดวงการเงินนั้น  ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยแบบช้า ๆ  แต่ก็ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนชีวิต  สิ่งที่ผมพยายามชดเชยก็คือเลี้ยงลูกให้มีชีวิตและ/หรือความสามารถที่สูงกว่าตัวเองโดยการส่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์จากตัวเองที่เรียน “โรงเรียนวัด”  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังพยายาม “ค้นหาตัวเอง” มาตลอดแต่ก็พบว่า “ปัจจัยในการแข่งขัน” ของตนเองในประเทศไทยนั้น  มีไม่เพียงพอที่จะประสบความสำเร็จมากได้  พูดโดยเฉพาะก็คือ  สิ่งที่เราสู้ได้มีเพียงเรื่องเดียวก็คือ “ความคิด”  แต่เรื่องของการปฏิบัติและสถานภาพส่วนตัวและครอบครัวไม่ดีพอ

น่าจะเป็นเรื่องของ “โชคชะตา” ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในปี 2540 ที่ทำให้ผม “ต้องเปลี่ยนชีวิต” เพราะผมต้องถูกให้ออกจากงานเมื่ออายุ 44 ปี  การตกงานและเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตแบบเดิมไปจนเกษียนหรือตลอดไปนั้นทำให้ต้อง “หาทางเอาตัวรอด” ซึ่งก็พบว่าการลงทุนแบบ Value Investment ที่มีแนวความคิดว่า “ลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการลงทุนในธุรกิจ”  เพียงแต่เราไม่ใช่เจ้าของคนเดียวและเราก็ไม่ต้องบริหารด้วยนั้น  เป็นทางออกที่ดีมาก  เฉพาะอย่างยิ่ง  เราสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัวหรือหลายธุรกิจและธุรกิจเหล่านั้นก็ “ไม่เสี่ยง”  เพราะอยู่มานานและหลายบริษัทก็เป็นผู้นำอันดับต้น ๆ  หรืออันดับหนึ่ง  กิจการมีกำไรมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  ที่สำคัญจ่ายปันผลงดงาม  บางตัวถึง 10% ต่อปีจากเงินที่เราลงทุน  ว่าที่จริงถ้าเราลงทุนเงินทั้งหมดที่มีอยู่แล้วรับปันผลมาใช้จ่ายก็ยังพอใช้ซึ่งผมก็ทำจริง ๆ และทำต่อมาอีกเกือบ 20 ปี  นอกจากการลงทุนแล้วผมก็ยังได้ “ค้นพบตัวเอง” หลังจากพยายามหามานานว่าผมควรเป็น VI และทำงานเผยแพร่แนวความคิดนี้  และตั้งแต่นั้นมาผมก็ทุ่มเททุกอย่างเพื่อ VI

ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างต่อมาเพื่อหาเงินมาลงทุนเพิ่มเพราะมันไม่จำเป็นที่จะต้องเลิกทำงานโดยเฉพาะถ้างานมันยังทำเงินให้เราอย่างมีนัยสำคัญ  อย่างไรก็ตาม  ภายใน 7 ปีแรกที่ผมลงทุน “เต็มร้อย”   ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นสูงมากจนผมมี “อิสรภาพทางการเงิน” อย่างสมบูรณ์  เงินจากการทำงานน่าจะไม่เกิน 10-20% ของเงินที่ได้จากการลงทุน  ผมก็ลาออกจากงานประจำเมื่ออายุ 52 ปีและลงทุนต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ผมโชคดีที่ชีวิตเปลี่ยนโดยไม่ได้ตั้งใจและได้ยึดถือเส้นทางที่โชคชะตาหยิบยื่นให้  คนจำนวนมากคงไม่ได้มีโอกาสอย่างนั้น  อย่างไรก็ตาม  คำแนะนำของผมสำหรับคนที่ยังไม่พบจุดเปลี่ยนในชีวิตก็คือ พยายามมองหาหรือไม่ก็สร้างมันขึ้นมา  หัวใจสำคัญก็คือ  พยายามลืมข้อจำกัดหรือ “ภูมิหลัง” ของเรา  เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบทำมากที่สุดถ้าเป็นไปได้  อย่าเลือกเส้นทางมาตรฐานที่สังคมยอมรับแต่มันไม่เหมาะกับเรา  เมื่อเราเริ่มทำในเส้นทางที่ “ใช่” สำหรับเราแล้ว  ทุกอย่างจะง่ายขึ้นและเราจะทำมันได้ดีและมีความสุข  เราจะไม่เครียดและในที่สุดมันจะนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นมาก  สำหรับผมแล้ว  มัน “เหนือกว่าจินตนาการ”

ที่มาบทความ: thaivi.org