VI

ผมมักจะถูกถามว่าดัชนีหุ้นจะไปที่กี่จุดในอนาคตเช่นเมื่อถึงสิ้นปีหรือบางทีก็ในสัปดาห์หน้า บางทีก็ถูกให้คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอะไรจะเป็น “เมกาเทรนด์” บ่อยครั้งก็จะถูกถามว่าอัตราดอกเบี้ยจะไปทางไหนหรือปรับตัวขึ้นเท่าไร ดูเหมือนว่าคนต้องการรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อที่จะรู้ว่าเขาควรจะลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่ หรือเขาควรจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนหรือตัวไหน สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะตอบได้ถูกต้องจริง ๆ หรือถ้าตอบได้ถูกต้อง ในหลาย ๆ ครั้ง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้ในการลงทุน

เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าคนอื่นส่วนใหญ่ก็สามารถตอบได้อย่างถูกต้องเช่นกันซึ่งก็จะทำให้คำตอบของผมไม่มีประโยชน์อะไร เพราะราคาหุ้นก็จะสะท้อนหรือตอบสนองกับข่าวสารนั้นไปแล้ว เวลาที่ข่าวออกมาตรงตามที่เราคาด ราคาก็ไม่ขึ้นหรือลงตามที่ควรจะเป็น บางครั้งกลับ “สวนทาง” เข้ากับคำพูดในวงการหุ้นที่ว่า “ซื้อ (ขาย) ตามข่าวลือ ขาย(ซื้อ)เมื่อข่าวนั้นเป็นจริง” ยกตัวอย่างเช่น เราคาดว่าเฟดจะปรับดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม 2559 ขึ้น 0.25% การคาดแบบนี้แม้เราจะทายถูก มันก็อาจจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะโอกาสที่จะถูกมีสูงและคนส่วนใหญ่ก็คาดกันอยู่แล้ว และหุ้นก็อาจจะไม่ตกเลยก็เป็นได้ ดังนั้น ผมจึงไม่อยากคาดอะไรถ้าเลี่ยงได้ โดยเฉพาะการคาดการณ์อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทที่ผมสนใจที่จะลงทุน

แต่ข้อถกเถียงที่สำคัญก็คือ ราคาของหุ้นนั้น ขึ้นอยู่กับ “อนาคต” ราคาของหุ้นนั้นไม่เกี่ยวข้องกับ “อดีต” ดังนั้น เราจะประเมินราคาหุ้นได้อย่างไรถ้าเราไม่มีตัวเลขในอนาคตมาใช้ในการคำนวณ นักลงทุนระดับเซียนทั้งหลายต่างก็บอกว่าเวลาเล่นหุ้นหรือลงทุนนั้น มันคล้าย ๆ กับการขับรถที่ว่า จงอย่ามอง “กระจกหลัง” เราต้อง “มองไปข้างหน้า” มิฉะนั้นรถจะชนท้ายคันอื่นหรือตกถนน ดังนั้น การคาดการณ์อนาคตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดและต้องทำให้ถูกต้องแม่นยำ ศาสตร์และศิลป์ของการคาดการณ์ต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่นักวิเคราะห์จะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมินราคาหุ้นที่ควรจะเป็นและสามารถแนะนำให้กับนักลงทุนได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ยาวนานบอกเราว่า การคาดการณ์ให้ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุน ที่มักมีปัจจัยกระทบมากมายและสิ่งที่มากระทบนั้นก็มักจะเป็นสิ่งที่มาอย่าง “ไม่คาดคิด” เป็นเหตุการณ์แบบ “Random” หรือแบบ “สุ่ม” ไม่สามารถคาดการณ์ได้ โอกาสที่จะคาดการณ์ถูกต้องกับคาดการณ์ผิดนั้น บ่อยครั้งเท่ากับ 50 : 50 แม้ว่าคนคาดการณ์จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็น “เซียน” ก็ตาม

ถ้าเช่นนั้น VI ควรจะทำอย่างไร?

เราจะเอาตัวเลขจากไหนมาประเมินหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น หรือเราจะดูว่าอุตสาหกรรมไหนที่เราจะเลือกลงทุนถ้าเราไม่รู้ว่าอนาคตมันจะดีขึ้นหรือเลวลง?

คำตอบของผมก็คือ เราก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องคาดการณ์ในบางเรื่องที่จำเป็นเช่นเรื่องของผลประกอบการของบริษัทในอนาคต แต่วิธีการในการคาดการณ์นั้น เราจะต้องทำอย่าง “อนุรักษ์นิยม” จริง ๆ และพยายามไม่อิงกับตัวเลขที่มาจากการคาดเดาอื่น ๆ เช่นการคาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรม ภาวะการแข่งขัน อัตราดอกเบี้ยในอนาคตเพื่อจะนำมาสู่การคาดการณ์ในเรื่องรายได้และผลกำไรของบริษัท ซึ่งจะทำให้มีโอกาสผิดพลาดสูงมาก เพราะเรา “คาดการณ์จากข้อมูลจากการคาดการณ์” ซึ่งจะทำให้โอกาสผิดพลาดสูงขึ้นแบบ “ยกกำลังสอง”

การคาดการณ์แบบ “อนุรักษ์นิยม” นั้น อาจจะบอกว่า กำไรปีหน้าก็ “เท่าเดิม” เท่ากับปีนี้ หรือถ้าจะอนุรักษ์นิยมน้อยลงมาหน่อยก็อาจจะบอกว่ากำไรปีหน้าก็โตขึ้น 10% เท่ากับสถิติการเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าเราอาจจะมีความเชื่อว่ามีปัจจัยบางอย่างที่กำลังดีขึ้นและกำไรปีหน้าอาจจะโตได้ถึง 20% และนั่นก็คือวิธีคาดการณ์ของผม นั่นคือ อิงตัวเลขของจริงในอดีตเป็นหลัก ไม่มองปัจจัยในอนาคตที่ “ไม่แน่นอน”

การคาดการณ์ดัชนีในอนาคต

เช่น เราคาดว่าตลาดหุ้นจะดี ดังนั้น เราควรซื้อหุ้นให้มากที่สุด เพราะนั่นจะทำให้เรามีโอกาสกำไรสูง แบบนี้สำหรับผมแล้ว ผมก็จะไม่ทำ เพราะการทำอย่างนั้นอาจจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะถึงแม้ว่าเราจะทายถูกว่าตลาดหุ้นจะขึ้น แต่หุ้นตัวที่เราซื้ออาจจะไม่ขึ้นก็ได้ แต่ถ้าเราทายผิด หุ้นเราก็อาจจะลง เราก็เสียหาย แต่บางทีหุ้นเราก็อาจจะไม่ลงก็ได้ เพราะหุ้นเรามีผลประกอบการที่ดีเยี่ยม สรุปแล้วการคาดการณ์หรือคาดเดาดัชนีนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผม

เช่นเดียวกัน การคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเองนั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไรนัก จริงอยู่ อัตราการเติบโตที่ดีย่อมส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมาก มันอาจจะช่วยให้เรารู้ว่าบริษัทจะกำไรดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ปัญหาก็คือ ใครจะทายได้แม่นยำ? สถิติระดับโลกบอกว่า คนที่ทายว่าอัตราการเติบโตจะ “เท่าเดิม” เท่ากับปีที่แล้ว มักจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว เวลาผมจะคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับคาดการณ์เรื่องอื่นต่อไปนั้น ผมจะ “เดา” เอาว่า “ปีหน้า” เศรษฐกิจก็จะยังคงเป็นเหมือน “ปีนี้” คืออาจจะแย่เหมือนเดิมหรือดีเหมือนเดิมไม่ว่าหน่วยงานทางเศรษฐกิจสำนักไหนหรือนักเศรษฐศาสตร์คนไหนจะว่าอย่างไร เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น บ่อยครั้งก็ไม่ได้กระทบกับรายได้และกำไรของบริษัทที่ผมลงทุนนักเพราะบริษัทนั้นไม่ได้เติบโตโดยอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจซักเท่าไร เพราะมันสามารถโตได้ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

ในระยะหลัง ๆ ที่มีการพูดถึงอุตสาหกรรมที่จะเป็น “เมกาเทรนด์” ก็มักจะมีคนมาถามว่าผมคิดว่าธุรกิจไหนจะเป็นเมกาเทรนด์ในอนาคตเพื่อที่ว่าเขาจะสามารถลงทุนได้ก่อนคนอื่น คำตอบของผมก็คือ ผมคาดไม่ได้หรอก ว่าที่จริงก็ไม่เคยมีใครสามารถคาดล่วงหน้าได้ถูกต้อง ถ้าไม่เชื่อก็ลองหาหนังสือเก่า ๆ ที่พูดเรื่องของ “โลกในอนาคต” ดูก็จะพบว่าผู้เขียนที่มักเคยเป็น “นักหยั่งรู้อนาคต” ที่มีชื่อเสียงนั้น “ทายผิด” กันแทบทั้งนั้น เช่น มีใครเคยบอกว่าคนทั้งโลกจะมีโทรศัพท์มือถือที่ติดต่อกันได้ด้วยค่าบริการคิดเป็นเศษสตางค์แบบที่เราใช้สื่อสังคมเช่น Line หรือโปรแกรมอื่น ๆ ในช่วงนี้ ? ดังนั้น ผมจึงไม่ทายว่าอะไรจะเป็นเมกาเทรนด์ ว่าที่จริงผมก็ยังไม่เห็นว่ารู้ไปจะมีประโยชน์อะไรนัก

เพราะเวลาเราพูดว่า “เมกาเทรนด์” นั้นก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องที่จะเกิดและต่อเนื่องไปยาวนานหลาย ๆ ปีหรือเป็นสิบ ๆ ปี ไม่มีความจำเป็นต้องรู้ก่อนล่วงหน้าเป็นปี ๆ จะรู้ทีหลังซักปีสองปีบางทีก็ยังไม่สายที่จะเข้าลงทุน ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อเกิดผลิตภัณฑ์หรือบริการขึ้นแล้ว

เราต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่ามันจะเป็นเมกาเทรนด์จริง ไม่ใช่เรื่องของ “แฟชั่น” ที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เราเห็นในช่วงแรก ๆ จะต่อเนื่องเป็นเมกาเทรนด์หรือไม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

วิธีวิเคราะห์หรือคาดการณ์ของผมนั้นก็คือการมองประเด็นต่าง ๆ ในด้านของ “โครงสร้าง” และ “ความสามารถในการแข่งขัน” ซึ่งจะช่วยให้เกิดความแน่นอนในตัวเลขหรือเหตุการณ์หรือผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะเกิดขึ้นและเป็นเมกาเทรนด์ในอนาคต ไม่ใช่เกิดจากการ “คาดเดา” อะไรที่ไม่แน่นอนเลย

ความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งนั้นมักทำให้บริษัทสามารถกำหนดเป้าหมายที่จะโตได้ด้วยตัวเองถ้าตลาดยังเติบโต ตลาดเองที่ยังเติบโตได้นั้นก็อาจจะมาจาก “โครงสร้าง” ของประชากรที่อาจจะกำลังแก่ตัวลงหรือมีรายได้มากขึ้นซึ่งทั้งสองอย่างนั้นมักจะคาดการณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ ผลก็คือ เราสามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทจะมีรายได้หรือกำไรที่ดีขึ้นในระดับที่คาดหวังอย่างค่อนข้าง “แน่นอน” ซึ่งจะทำให้เราสามารถประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมได้

เขียนมายืดยาว ประเด็นหลักของผมที่ต้องการจะสื่อก็คือ “อย่าคาดเดา” โดยเฉพาะกับตัวเลขที่สดใสงดงามเพื่อที่จะหาเหตุผลให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นเกินจริง พยายามอิงกับตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงในอดีตที่บริษัททำได้มาหลาย ๆ ปี อย่าใช้ตัวเลขที่เป็น “ความฝัน” หรือการมองโลกในแง่ที่ดีเกินไปในการประเมินมูลค่าหุ้น

ที่มาบทความ : http://www.thaivi.org/vi-ไม่คาดเดา/