มุมมอง ดร.วิศิษฐ์ (25-28 ตุลาคม 2559)

ตั้งแต่เดือนต.ค. 2559 เป็นต้นมา หุ้นกลุ่มขนาดเล็ก (Small Cap.) ได้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ (Large Cap.) โดยผลตอบแทนอยู่ที่ SET +6.2% เทียบกับ SET50 ที่ +4.4%

  • ในช่วงที่เหลือของปี 2559 การปรับตัวแข็งค่าของเงินดอลลาร์จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขับเคลื่อนของเม็ดเงิน (Fund Flow) และตลาดได้สะท้อนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโนบายของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง (ความน่าจะเป็นล่าสุดอยู่ที่ 70%)
  • คาดเม็ดเงินของการเข้าซื้อ LTF/RMF ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนๆ ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก 1) ดัชนีอยู่ในระดับสูงแล้ว 2) ระยะเวลาการถือครองที่ขยายเพิ่มเป็น 7 ปีปฏิทิน
  • ในปี 2558 ดัชนี SET ให้ผลตอบแทนสูงกว่า SET50 5.3% ในช่วงเดือนต.ค.-ม.ค.
  • กลยุทธ์สำหรับกลางเดือนต.ค.-ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีลักษณะ Low Volatility ก่อนการเลือกตั้งที่สหรัฐฯ แนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นรายตัว
  • ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่ม Under owned Mid Cap Stock

ปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

ปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า

  1. การได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของนางฮิลลารี คลินตัน คาดว่าจะเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวมในระยะสั้น
  2. คาดราคาน้ำมันดิบจะสามารถยืนได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปจนถึงการประชุม OPEC อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤศจิกายน หลังจากที่กลุ่ม OPEC บรรลุข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการในการปรับลดการผลิตน้ำมันลงสู่ระดับ 32.5 – 33.0 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปัจจุบันที่ระดับ 33.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากตัวเลขจริงในการประชุมวันที่ 30 พฤศจิกายนออกมาในระดับดังกล่าว มองไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากนัก แต่หากตัวเลขออกมาที่ระดับประมาณ 32.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน มองเป็น Upside risk ต่อราคาน้ำมันดิบอีกรอบหนึ่ง มีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อราคาน้ำมันดิบในปี 2560 เนื่องจากท่าทีของรัสเซียและซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็น 2 ประเทศมหาอำนาจของกลุ่ม Non-OPEC และกลุ่ม OPEC เริ่มที่จะหันหน้าเข้าเจรจาประเด็นการลดกำลังการผลิตมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสทำให้ราคาน้ำมันดิบมี Upside risk ในช่วงถัดไป
  3. เม็ดเงิน LTF/RMF ในช่วงปลายปี ประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท ต่ำกว่าของปีที่แล้วที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
  4. การประมูลโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ
  5. การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ BoJ และ ECB ยังคงคาดว่า ECB จะมีมติต่ออายุมาตรการ QE ในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 8 ธันวาคม แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์อยู่แล้ว โดยต่ออายุอีกประมาณ 6 เดือน แต่หลังจากนั้นคาดว่าจะไม่มีการปรับเพิ่ม
  6. คณะกรรมการ FOMC ชุดใหม่ที่โน้มเอียงไปทางค่าย Dovish
  7. นักลงทุนต่างชาติที่เป็น Long- term Investors และยังไม่ได้ Overweight หุ้นไทยแม้แต่น้อย

ปัจจัยลบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  1. USD: ติดตามการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์สหรัฐฯต่อไป หลังล่าสุดยังคงปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุสำคัญจากการที่นักลงทุนได้ให้น้ำหนักมากขึ้นกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ล่าสุด Fed Funds futures บ่งชี้ว่ามีความน่าจะเป็น 71% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในรอบดังกล่าว ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เคยมีข้อมูลมา มองเป็นปัจจัยกดดันเบื้องต้นต่อค่าเงินและตลาดหุ้นของประเทศเกิดใหม่
  2. การปฏิรูประบบภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารกลุ่มใหม่ ที่รวมถึงการปรับลดภาษีการโอนเงินกลับสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย Homeland Investment Act ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีเงินกว่า 2-4 แสนล้านดอลลาร์ไปกลับไปสหรัฐฯ (หรือเป็นประมาณนับเป็น 5-10% ของงบการเงินของ Fed และใกล้เคียงกับการ Tapering)
  3. การปรับลดประมาณการของบริษทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์
  4. บรรยากาศการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศที่อาจจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น
  5. คาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ Bond yield ปรับตัวสูงขึ้นตาม
  6. Key audit matter ที่จะต้องปรากฏในงบการเงินของบ.จ.ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป
  7. การไถ่ถอนกองทุน LTF/RMF ในช่วงต้นปี 2560
  8. คดีค่าปรับของ Deutsche Bank

กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ Overweight

  1. ENERG – ระดับราคาน้ำมันที่น่าจะแข็งแกร่งต่อไป
  2. CONS/CONMAT – การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
  3. FOOD/ETRON – คาดการณ์เงินบาทอ่อนค่า, กลุ่ม Food คาดว่าจะโดดเด่นช่วง 3Q59
  4. ICT/UTILITIES – เงินปันผลสูงและมีความผันผวนต่ำ, กลุ่ม Utilities คาดโดดเด่นปี 2560
  5. INSUR – แนวโน้มขาขึ้นของ Bond yield

กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ Underweight

  1. BANK – แนวโน้มการตั้งสำรองหนี้ที่ยังไม่สิ้นสุดบวกกับมาตรฐานบัญชีใหม่
  2. TOURISM – ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญและการเตือนภัย
  3. PROP – บรรยากาศการบริโภคหดตัวลงในระยะสั้น
  4. MEDIA – รายการสื่อต่างๆรวมถึงงานอีเว้นท์ที่ลดลง

กลุ่มที่ต้องเฝ้าจับตาดูเพื่อประเมิน Upside คือ กลุ่ม Transport

ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup/