Analysis: Fed ลด QE เรียบร้อย ควรลงทุนอะไรต่อดี?

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรรัฐฯ (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% พร้อมประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นพันธบัตร 10,000 ล้านดอลลาร์ และ MBS 5,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทำให้จะสิ้นสุดโครงการดังกล่าวภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้า

การปรับลดวงเงินของ Fed ในเดือนนี้นับเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เพราะการเปิดเมืองที่ดำเนินมาได้ระยะหนึ่งได้ช่วยหนุนเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่ง สะท้อนชัดเจนผ่านตัวเลขตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร เดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่ง มากกว่าคาดที่ 450,000 ตำแหน่ง เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานลดลงมาที่ 4.6% ดีกว่าคาดที่ 4.7% พร้อมกันนั้นยังเป็นช่วงเวลาที่สวัสดิการการว่างงงานเริ่มหมดลง ขณะที่โรงเรียนก็กลับมาเปิดเรียนส่งให้แรงงานต้องกลับเข้าทำงาน

ด้านอัตราเงินเฟ้อที่ Fed ยืนยันมาตลอดว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ก็เริ่มชะลอตัวลงแล้วหลังราคาพลังงานทั่วโลกย่อตัวลงมา การลดปริมาณวงเงินนี้อาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อแต่อย่างน้อยก็ลดในทางอ้อมได้บ้าง เพราะปริมาณเงินที่เข้าระบบน้อยลง

ความน่าสนใจที่สุดของการลดปริมาณวงเงินครั้งนี้ คือตลาดการเงินทั่วโลกไม่ตกใจเลย ซึ่งเรื่องนี้ต้องยกเครดิตความดีความชอบให้กับการสื่อสารของ Fed ผ่านประธานอย่างนายเจอโรม พาวเวลล์ ที่เรียนรู้จากเหตุการณ์ Taper Tantrum เมื่อปี 2013

ย้อนกลับไปเมื่อกลางปีที่ตลาดเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า Fed จะลดปริมาณวงเงินเมื่อไร ก็เป็นประธานท่านนี้ที่ออกมาบริหารความคาดหวังของตลาดอย่างต่อเนื่องทุกการประชุม ด้วยการเปิดเผยแนวทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนการประชุมเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าคณะกรรมการกำลังพิจารณาเรื่องนี้ รวมถึงบอกใบ้ทั้งปริมาณวงเงินที่จะลดและระยะเวลา ซึ่งตลาดก็ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยในเวลาอันสั้น ชี้ชัดว่าตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว

มากไปกว่านั้นในการประชุมครั้งนี้ที่มีการเปิดเผยแผนการทั้งหมด นายเจอโรม พาวเวลล์กล่าวว่า Fed พร้อมที่จะปรับขนาดวงเงินหากมุมมองเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป นับเป็นประโยคปลอบโยนความรู้สึกตลาดให้ไม่ต้องห่วงว่าการลด QE แล้วหากเศรษฐกิจชะลอตัว Fed จะยังคงลดวงเงินต่อไป นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มอีกว่า Fed จะเปิดเผยแผนการอย่างชัดเจน Fed จะไม่ทำให้ตลาดตกใจ เป็นการย้ำแนวทางที่ใช้มาโดยตลอด

ดังนั้นการปรับลดวงเงินครั้งนี้ของ Fed เป็นประเด็นที่ไม่น่ามีผลต่อตลาดการเงินอีกแล้ว อีกทั้งหลายปัจจัยก็ผ่านพ้นมาระยะหนึ่งจนตลาดรับรู้ข่าวไปแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มกลับสู่ภาวะปกติซึ่งมีการเติบโตไม่มาก

ตลาดจึงต้องหันกลับหาหุ้นที่มีการเติบโตเหนือวัฏจักรเศรษฐกิจซึ่งก็หนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่เพิ่งเปิดเผยออกมาก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องเหนือคาดการณ์ พร้อมคาดการณ์ในอนาคตที่ยังโดดเด่นเหนือกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ยื่งตลาดการเงินอยู่ในภาวะ TINA (There Is No Alternative) แล้วเงินยิ่งต้องไหลเข้าหากลุ่มที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น (อย่างเลือกไม่ได้)

 ——————-

👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน