
ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในการประชุม OPEC และชาติพันธมิตร โดยซาอุดิอาระเบียโน้มน้าวให้ชาติสมาชิก OPEC ลดกำลังการผลิตอีก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และชาติพันธมิตรนอก OPEC ลดกำลังการผลิตลง 500,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบ (Demand) ลดลงด้วยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ท้ายที่สุดการเจรจากลับไม่ประสบผลสำเร็จหลังรัสเซียไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว

เมื่อการเจรจาล้มเหลว ซาอุฯ จึงตัดสินใจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตจากระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขึ้นมาที่ 10-11 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ Saudi Aramco ได้ส่งจดหมายแจ้งลูกค้าว่าจะลดราคาขายอย่างเป็นทางการ (Official Selling Price) โดยราคาน้ำมันที่ส่งไปยังยุโรป ลดลง 8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สหรัฐฯ ลดลง 7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเอเชีย 6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากต้นทุนการผลิตของซาอุฯ ต่ำกว่าคู่แข่งทั่วโลก โดยอยู่ที่ 8.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ข้อมูลจาก WSJ ปี 2016)

ผลที่เกิดขึ้นตามมา คือ สงครามราคาน้ำมัน (Price War) ซึ่งเรียกได้ว่า Surprise Move ที่ตลาดไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย และจากผลที่เคยเกิดขึ้นในอดีต การทำสงครามราคามักไม่สร้างผลดีให้กับใคร เช่น ในช่วงปี 1998 ที่มีวิกฤติต้มยำกุ้งจนกระทบ Demand ส่งให้ราคาน้ำมันดิบลดลงไปต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากทางซาอุฯ ไม่ยอมลดกำลังการผลิต หรือเหตุการณ์ล่าสุดในปี 2015 ที่ความต้องการน้ำมันลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็นผลจากการ Soft Landing ของประเทศจีน

อย่างไรก็แล้วแต่ การตัดสินใจของซาอุฯ ในครั้งนี้เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดยุโรปคืนจากรัสเซีย อีกทั้งเป็นการกดดันให้รัสเซียกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง ซึ่งหากรัสเซียกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาก็อาจทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัว แต่หากไม่สำเร็จจะส่งผลให้ราคาน้ำมันร่วงลงไปต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมีผลดีต่อต้นทุนการผลิตทั้งหมด ลดแรงกดดันต่อภาคเศรษฐกิจในช่วงที่การบริโภค (Consumption) ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ในระยะสั้นตลาดปรับตัวลงด้วยความกลัว (Panic Sell) แต่จากข้อมูลในรูปที่ 5 พบว่าตลาดหุ้นหลักของโลกมีสัดส่วนของหุ้นอุตสาหกรรมน้ำมันไม่มากเมื่อเทียบกับดัชนี Set ของประเทศไทย ดังนั้นในระยะกลาง ปัจจัยจากราคาน้ำมันอาจส่งผลกดดันตลาดหุ้นโลกไม่มากนัก แต่อาจสร้างแรงกดดันต่อดัชนี Set ได้ต่อเนื่อง

สำหรับผลกระทบแบบ domino effect ต่อบริษัทน้ำมันที่มีปัญหาหนี้สินยังไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้นด้วยความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น FINNOMENA Investment Team ให้น้ำหนักกับปัจจัยทางเทคนิคมากขึ้นในการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงเวลานี้
FINNOMENA Investment Team เชื่อว่าสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตปัจจุบันมีความเหมาะสม เมื่อพิจารณาจากระดับมูลค่า (Valuation) ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งเราเชื่อว่า ประชากรโลกกำลังมีความกลัวต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมากเกินไป (Panic Mode) ประกอบกับตลาดการเงินกำลังอยู่ในช่วง late bull cycle จึงทำให้การปรับฐานมีระดับความรุนแรงที่มากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ ด้วยสถานการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวตามอารมณ์และความกังวลสูง ทำให้ในขณะนี้ใช้การวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียวได้ยาก
แต่ในระยะยาว FINNOMENA Investment Team เชื่อว่าจะมีการใช้นโยบายการเงินและการคลังออกมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย ลดภาษีรายได้ หรือแม้กระทั่งการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับบริษัทที่มีปัญหา ทั้งนี้ FINNOMENA Investment Team ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และคำนึงถึงความเสี่ยงของพอร์ตของลูกค้ารายคนในปัจจุบัน ด้วยการมี cut loss policy ในกรณีที่ตลาดผันผวนรุนแรงมากเกินไป เพื่อเป็นการปกป้องเงินลงทุนของลูกค้า

สำหรับนักลงทุนที่กำลังพิจารณาลงทุนหรือปรับพอร์ตการลงทุน FINNOMENA Investment Team แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาทยอยเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้นไทย กองทุนหุ้นเอเชีย กองทุนหุ้นโลก และกองทุนอสังหาฯ ได้ ขณะเดียวกันยังแนะนำให้เข้าลงทุนในกองทุนทองคำได้ตามสัดส่วนแนะนำที่ 20% ของพอร์ตการลงทุน

ล่าสุดเมื่อคืนนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าทางทำเนียบข่าวเตรียมการแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ซึ่งรวมไปถึงการปรับลดภาษีเงินเดือน และกำลังหาทางช่วยพนักงานที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพิ่มปริมาณเงินที่เสริมสภาพคล่องผ่านตลาด Repo โดย Overnight Repo เพิ่มขึ้นจาก 100,000 ล้านดอลลาร์ มาที่ 150,000 ล้านดอลลาร์ และ 14-day repo เพิ่มขึ้นจาก 20,000 ล้านดอลลาร์ มาที่ 45,000 ล้านดอลลาร์
FINNOMENA Investment Team