ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ในประเทศสหรัฐ ที่ประกาศออกมาแล้วกว่า 90% ซึ่งตลาดสหรัฐเองได้มีการตอบรับในเชิงบวกต่อผลประกอบการดังกล่าว ทั้งยอดขายและผลกำไรที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาด ซึ่งสามารถตอบรับต่อความหวังของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี แล้วปัจจุบันนักลงทุนในตลาดหวังอย่างไรกันบ้าง และส่งผลต่อตลาดอย่างไร ติดตามได้ใน The Key Factors สัปดาห์นี้

1. สถานะการถือครองสัญญา Futures ในหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี

ที่มา TopdownCharts

Futures หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นอีกอุปกรณ์ทางการเงินชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ทั้งในการเก็งกำไร และปิดความเสี่ยงด้านการลงทุนจากความผันผวนของตลาด ขณะเดียวกันก็สามารถใช้เพื่อสะท้อนมุมมองของตลาดต่อสินทรัพย์นั้นๆ ได้เช่นเดียวกัน

จากกราฟข้างต้น จะเห็นได้ว่าการถือครองสถานะ Long ในหุ้นสหรัฐอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ตรงกันข้ามกับการถือสถานะ Long ในพันธบัตรรัฐบาลที่มีสถานะเป็นขายสุทธิ  (Net Short) ซึ่งหมายถึง ปัจจุบันนักลงทุนจำนวนมากคาดการณ์ ว่าตราสารหนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงมากกว่าขึ้น ตรงกันข้ามกับหุ้นที่นักลงทุนมองว่ามีแนวโน้มจะขึ้นในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับในอดีต

2. Margin debt ลดลงเล็กน้อยจากจุดสูงสุด

ที่มา TopdownCharts

เมื่อประกอบกับ Margin Debt หรือ การใช้สินเชื่อเพื่อการลงทุน ที่ผ่านมาในอดีตมักมีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการเก็งกำไรที่มากขึ้น และการใช้สินเชื่อดังกล่าวมักทำจุดสูงสุด ก่อนที่ตลาดจะเกิดวิกฤติ ซึ่งในปัจจุบันระดับการใช้สินเชื่อเพื่อการลงทุนดังกล่าวได้เลยจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ปี 1997 แล้ว และมีการปรับตัวย่อลงเล็กน้อย

ซึ่งหากอิงจากสถิติเดิม ที่มักมีการทำจุดสูงสุดใหม่และตลาดหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ไม่ได้ นั่นหมายถึง มีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐานได้อย่างมาก หรืออาจเกิดวิกฤติในตลาดการลงทุนได้

3. ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนดีกว่าคาด

ที่มา Bloomberg

อย่างไรก็ตามผลประกอบการซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น โดยเฉพาะในสหรัฐก็ประกาศออกมาดีกว่าคาด ซึ่งปัจจุบันนั้นประกาศมาแล้ว 434 บริษัท จาก 497 บริษัท ในดัชนี S&P500 ผลออกมา ยอดขายดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ถึง 307 บริษัท โดยที่ในภาพรวมแล้ว ยอดขายดีกว่าคาดถึง 1.31% และอีกส่วนที่สำคัญคือ กำไร ก็ประกาศออกมาดีกว่าคาดถึง 361 บริษัท โดยที่ในภาพรวมดีกว่าคาดถึง 5.48% ซึ่งหมายถึง ถึงแม้ยอดขายจะไม่สูงมากแต่กลับมีกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อบริษัทจดทะเบียน และมูลค่าของตลาดโดยรวม

ทำให้การลงทุนในความหวังในคราวนี้ ทั้งในสถานะ Futures และ การใช้เงินกู้เพื่อการลงทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังสร้างผลกำไรให้นักลงทุนได้ต่อไป

ทั้งหมดนี้ก็เป็น The Key Factors รายงานจาก FINNOMENA Investment Team ที่นำมาฝากทุกท่านประกอบการตัดสินใจลงทุนในวันนี้

FINNOMENA Investment Team รายงาน

iran-israel-war