เปิดปี 2020 มีเหตุการณ์มากมายที่กระทบตลาด ไม่ว่าจะเป็นศึกระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน, ไวรัสโควิด-19, ธนาคารกลางพากันลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน , ศึกราคาน้ำมันระหว่างโอเปกและรัสเซีย โดยตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นสำคัญๆ ของโลกได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยยะ ท่ามกลางบรรยากาศที่ผันผวน เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างนี้ ยังมีสินทรัพย์ประเภทไหนบ้างที่น่าลงทุนเพื่อหลบภัยจากตลาดหุ้น ลดความเสี่ยงของพอร์ต บทความนี้ขอรวบรวม 4 กองทุนสำหรับผู้ที่สนใจสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนครับ
ทาง FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสชะลอตัว และเข้าสู่ภาวะ Technical Recession ในช่วงไตรมาสที่ 2/20 ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปีที่แล้ว ยังมีต่อเศรษฐกิจไทย สร้างแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มที่จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว อย่างการลงทุน KFAFIX หรือในกรณีที่หากการลดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิดขึ้น อัตราผลตอบแทนของพอร์ต (Yield) กองทุน KFAFIX เฉลี่ย 2.43% (ข้อมูล ณ วันที่ 31/1/2020)
โดย KFAFIX เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางแบบ Active ที่สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ มีการเลือกตราสารหนี้ และอายุของตราสารหนี้แบบยืดหยุ่น เปิดช่องให้สามารถลงทุนในตราสารหนี้พวก High Yield ได้ แต่กองยังเลือกที่จะถือ Investment Grade เท่านั้น ทางด้านอายุเฉลี่ย (Duration) ของตราสารหนี้ กองทุนเคยถือพอร์ตตราสารหนี้อายุเฉลี่ยสูงสุด 2.97 ปี ก่อนที่จะลดลงมาสู่ระดับ 2.44 ปี เมื่อตอนเดือนธันวาคม และปรับขึ้นมาสู่ระดับ 2.85 ปี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอ การส่งออกยังคงชะลอตัว สอดคล้องกับการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว ส่งผลให้ดุลการค้าที่เคยเกินดุลมีแนวโน้มหดตัวลง ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า
ขณะที่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเข้าถือครองในยามที่ตลาดมีความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมาที่โลกกังวลกรณีโควิด-19 ที่ส่งผลให้ราคาทองคำขึ้นมาทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อประกอบกับสถานะความเป็นสินทรัพย์รักษาอำนาจการซื้อของทองคำ หรือพูดง่ายๆ คือสู้กับเงินเฟ้อได้
โดยหาก Real Yield (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล – อัตราเงินเฟ้อ) น้อยลง ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันราคาทองคำ เพราะการเข้าลงทุนในทองคำช่วยรักษาอำนาจการซื้อได้ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแนวโน้มจะกลับมาเป็นดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง ก็จะสร้างแรงกดดันให้ Real Yield ลดลง
เท่ากับว่า การถือครองทองคำแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน จะช่วยให้พอร์ตได้ผลบวกจากเงินบาทที่อ่อนค่า และการปรับตัวขึ้นของทองคำในยามที่ตลาดกังวล
โดย SCBGOLD ลงทุนใน SPDR Gold Trust ซึ่งถือเป็น ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นกองทุนรวมทองคำแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ทั้งนี้เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าของเงินบาท
การถือครองตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยระยะกลาง จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในยามที่ตลาดผันผวนเนื่องจากนักลงทุนจะหนีเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยและมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติ อันได้แก่ ตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยยังกลับมาอีกครั้ง จากความกังวลกรณีเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่กระจายของโควิด-19 ซึ่งเป็นผลดีต่อการถือครองตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว
โดย PHATRA G-UBOND-H เป็นกองทุนตราสารหนี้แบบ Active ทั่วโลก มีการปรับพอร์ตแบบยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ซึ่งปัจจุบันลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ เป็นหลักที่ 32.9% รองลงมาคือ UK ที่ 19.1% ในฝั่งของ Credit Rating ตราสารหนี้ที่กองทุนถืออยู่ที่เฉลี่ย BBB+ มี Duration 5.80 ปี และ Yield เฉลี่ยของพอร์ตกองทุนอยู่ที่ 3.45% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 29/02/2020 )
เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อีกทั้งความกังวลจากการแพร่ระบาด ยังหนุนให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดจะเป็นผลดีต่อตราสารหนี้ระยะกลางและยาว
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนโดย ASIA-B เป็นกองทุนตราสารหนี้แบบ Active ที่มุ่งเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศในเอเชียที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์ (Asian USD Bonds) พอร์ตกองทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง (3-5 ปี) และมีความกระจุกตัวในผู้ออกตราสารรวมที่ต่ำ (น้อยกว่า 5%)
ข้อมูล ณ วันที่ 11 มีนาคม 2563
ที่มา : FINNOMENA
ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สถานการณ์ในตอนนี้ตลาดหุ้นได้เข้าสู่ภาวะ Event driven bear market ทาง FINNOMENA Investment Team เปรียบเทียบผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี ของตลาดหุ้นสำคัญๆ จะเห็นได้ว่าหากพอร์ตของเราถือหุ้นล้วน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นภูมิภาคไหน ก็จะพบเจอกับการขาดทุนหนักมากกว่า 10% แต่เมื่อลองเพิ่มสัดส่วน 30% ในกองทุน 4 กองข้างต้นแม้เพียงกองเดียว จะเห็นได้ว่าช่วยลดการขาดทุนของพอร์ตไปได้มากพอสมควร โดยเฉพาะทองคำที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในกลุ่มสินทรัพย์ที่กล่าวมา
ในยามที่ตลาดผันผวน การจัดพอร์ตที่มีสินทรัพย์หลากหลาย จะช่วยให้พอร์ตมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่เหวี่ยงไปกับตลาดมากเกินไป โดยตราสารหนี้และทองคำถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สามารถพยุงความเสี่ยงของพอร์ตไม่ให้สูงเกินไปได้ จึงเหมาะสำหรับใครที่อยากกระจายความเสี่ยงช่วงนี้ อย่างไรก็ดี อย่าลืมศึกษารายละเอียดและความเสี่ยงของแต่ละกองทุนให้ดีก่อนเริ่มลงทุนนะครับ
FINNOMENA Investment Team
สำหรับผู้ที่สนใจอยากมีกองทุนเหล่านี้ไว้กระจายความเสี่ยงให้พอร์ตตัวเอง ทางฟินโนมีนามีพอร์ต Immunity ที่ไว้สู้กับสภาวะผันผวนของตลาดโดยเฉพาะ หากสนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.finnomena.com/immunity
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนAdvance, Article, Product Info, set-immunity, Short Content, world-immunity, กระจายการลงทุน, กระจายความเสี่ยง, กลยุทธ์การลงทุน, ผันผวน, ภาวะวิกฤต, วิกฤต