Highlight
- 1. Scott Bessent – รัฐมนตรีคลังคนใหม่
- 2. Stephen Miran – ประธานสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
- 3. Howard Lutnick – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
- 4. Peter Navarro – ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและอุตสาหกรรมการผลิต
- 5. Kevin Hassett – ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ
- 6. Elon Musk – ผู้หนุนการค้าเสรี ต่อต้านกำแพงภาษี
- โอกาสการลงทุนที่ Finnomena Funds แนะนำ
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ไม่ได้มาพร้อมแค่สโลแกนเดิมอย่าง Make America Great Again แต่ยังมาพร้อม “แผนภาษีรอบใหม่” ที่หนักหน่วงและชัดเจนขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการหันเป้ากลับไปที่คู่ปรับตลอดกาลอย่าง “จีน” อีกครั้ง และครั้งนี้อาจใหญ่กว่าที่เคย
ศึกเก่ายังไม่จบ จีนยังเป็น “เป้าหมายหลัก”
ทรัมป์ยังคงมองจีนเป็น “ศัตรูทางเศรษฐกิจ” เบอร์หนึ่ง พร้อมทั้งพยายามกดดันพันธมิตรทั่วโลกให้ “เลือกข้าง” ระหว่างสหรัฐฯ หรือจีน โดยเชื่อว่าการขึ้นภาษีเป็นเครื่องมือที่จะกดดันให้จีนอ่อนข้อลง
แต่ความจริงอาจไม่ง่ายแบบนั้น เพราะจีนแสดงให้เห็นแล้วว่า “อดทนได้มากกว่าที่สหรัฐฯ คิด” ทั้งยังตอบโต้ด้วยมาตรการแข็งกร้าว พร้อมเตือนประเทศอื่นที่ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ว่าจะเจอผลลัพธ์ที่ “เด็ดขาด”
ทรัมป์เริ่ม “ซอฟต์” แต่เกมยังไม่เปลี่ยน
ในทางกลับกัน ทรัมป์แสดงท่าทีประนีประนอมมากขึ้นในช่วงหลัง โดยกล่าวชื่นชมประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่า “ฉลาดและเป็นเพื่อนกันมานาน” พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจไม่ขึ้นภาษีเพิ่ม หรือแม้กระทั่ง “ลดภาษี” เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคอเมริกันได้รับผลกระทบจนเสียคะแนนนิยม
อย่างไรก็ตาม จีนกลับเดินเกมแข็งกว่าเดิม พร้อมยื่น “เงื่อนไขที่ยากจะยอมรับ” เช่น การยอมรับไต้หวันว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ทำให้เกมเจรจารอบนี้อาจไม่ได้จบง่าย ๆ
6 ขุนพลผู้อยู่เบื้องหลังแผนภาษีสุดระห่ำ
เบื้องหลังแผนภาษีสุดแข็งกร้าวของทรัมป์ ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยเขาคนเดียว แต่มี “ทีมเศรษฐกิจคนสนิท” ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นผู้วางเกม วางแนวคิด และเขียนบทให้เขาเล่นบนเวทีการเมืองโลก
6 ขุนพลเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงที่ปรึกษาธรรมดา แต่ล้วนเป็น “ตัวละครสำคัญ” ที่จะมีบทบาทในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
1. Scott Jensen – รัฐมนตรีคลังคนใหม่
Scott Bessent เป็นอดีต CIO ของ Soros Fund และผู้ก่อตั้ง Key Square Capital เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านสกุลเงินและตราสารหนี้ที่มองว่า Tariff ไม่ใช่แค่กำแพงภาษี แต่เป็นกลยุทธ์ต่อรองเพื่อปรับสมดุลทางการค้า และปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยสามารถใช้ควบคู่กับนโยบายค่าเงินเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
2. Stephen Miran – ประธานสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
นักเศรษฐศาสตร์หัวแข็ง ผู้เขียนหนังสือ “User Guide to Restructuring the Global Trade System” ซึ่งกลายเป็นเหมือนคู่มือกลยุทธ์ให้กับทีมของทรัมป์ในการรื้อและสร้างระบบการค้าโลกใหม่ เขาเชื่อมั่นว่าการใช้ Tariff อย่างเด็ดเดี่ยวจะช่วยปรับโครงสร้างระบบการค้าโลกให้เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ และการออกแบบภาษีที่เหมาะสมจะไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ
3. Howard Lutnick – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
อดีต CEO ของ Cantor Fitzgerald และผู้ริเริ่มระบบ eSpeed สำหรับซื้อขายตราสารหนี้ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่กับทรัมป์มาตั้งแต่ยุคแรก เขาเชื่อว่า Tariff คือเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาดุลการค้า สนับสนุนการผลิตในประเทศ และสร้างความยุติธรรมในการค้าระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ ควรได้รับ
4. Peter Navarro – ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและอุตสาหกรรมการผลิต
หนึ่งในกลุ่มสายแข็งผู้สนับสนุน Tariff อย่างเปิดเผย ผู้เขียนหนังสือ “Death by China” และเบื้องหลัง Project 2025 เขาเรียกร้องให้บริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่ที่ย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ย้ายฐานการผลิตกลับบ้าน พร้อมเสนอเก็บภาษีนำเข้ารุนแรงกับ 8 ประเทศที่มองว่าทำการค้าไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ โดยมองว่า Tariff คือทางเดียวในการฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ
5. Kevin Hassett – ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ
อดีตประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์ เขาเห็นว่า Tariff คืออาวุธเชิงยุทธศาสตร์ที่ใช้เปิดโต๊ะเจรจากับคู่ค้า เขาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการพักเก็บภาษี 90 วันเพื่อให้เกิดข้อตกลงการค้าใหม่ แต่ยังคงภาษี 10% เป็นฐาน พร้อมย้ำว่านี่คือสัญญาณว่าทรัมป์เอาจริง
6. Elon Musk – ผู้หนุนการค้าเสรี ต่อต้านกำแพงภาษี
แม้จะไม่ใช่นักการเมือง แต่ Musk มีบทบาทในกระทรวง DOGE (Department of Government Efficiency) และเป็นคนเดียวในทีมที่ต่อต้านนโยบาย Tariff อย่างชัดเจน เขาเชื่อว่าการแข่งขันควรมาจากนวัตกรรม ไม่ใช่กำแพงภาษี และเคยเสนอให้สหรัฐฯ เดินหน้าสู่การค้าแบบ Zero Tariff ร่วมกับยุโรป โดยล่าสุดยังมีประเด็นโต้กลับ Navarro ผ่านโซเชียลมีเดีย สะท้อนความขัดแย้งทางความคิดในทีมทรัมป์ได้อย่างชัดเจน
มุมมองต่อ Tariff ของแต่ละขุนพล
ในบรรดาขุนพลทั้ง 6 นี้ มีเพียง Musk ที่ชัดเจนว่า “ต่อต้านการเก็บภาษี” ขณะที่ Navarro ยืนกรานว่าต้องเก็บภาษีหนักที่สุดเท่าที่จำเป็น ส่วนอีก 4 คนที่เหลือ แม้จะไม่สุดโต่งเท่า Navarro แต่ก็พร้อมใช้ภาษีเป็น “เครื่องมือต่อรอง” มากกว่าจะใช้เป็นมาตรการจริงระยะยาว
ตลาดจะไปทางไหน? มุมมองจาก Finnomena Funds
Finnomena Funds มองแง่บวกต่อทิศทางตลาด หลังความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าคลายตัว เมื่อทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน สะท้อนการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือเจรจามากกว่าการจุดชนวนสงครามการค้าเต็มรูปแบบ การปรับฐานของตลาดที่ผ่านมาถือเป็นโอกาสลงทุน
เราเชื่อว่าทรัมป์น่าจะผลักดันข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวแบบ V-shape หากการเจรจาคืบหน้าและเฟดลดดอกเบี้ยตามมา
โอกาสการลงทุนที่ Finnomena Funds แนะนำ
มองว่าการเลื่อนขึ้นภาษี 90 วันของทรัมป์สะท้อนชัดว่า “การขึ้นภาษีนำเข้าไม่ใช่เป้าหมายจริง” แต่เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองมากกว่า อีกทั้งทรัมป์ยังกล่าวว่าผู้นำหลายประเทศกำลังเข้ามาเจรจา ซึ่งยิ่งย้ำว่าการเปิดโต๊ะพูดคุยมีความเป็นไปได้
แม้ภาษีระหว่างจีน–สหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง แต่เริ่มเห็นแรงต้านจากภาคธุรกิจในสหรัฐฯ มากขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าทั้งสองฝ่ายอาจหาทางออกร่วมกันในอนาคต
Finnomena Funds จึงแนะนำโอกาสการลงทุนที่น่าจับตาในหลากหลายตลาดทั่วโลก ดังนี้
- หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A ได้อานิสงส์จากกระแส China Plus One
- หุ้นอินเดีย B-BHARATA และ TISCOINA-A ได้เปรียบจากความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐฯ
- หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ B-INNOTECH และ TISCOAI ราคาปรับลงแรง แนวโน้มกลับมาเป็นบวก
- หุ้นเกาหลีใต้ DAOL-KOREAEQ น่าสนใจเนื่องจากมีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก
- หุ้นจีน MEGA10CHINA-A ราคาปรับฐานแรง มองว่ามีโอกาสฟื้นตัวหากความตึงเครียดผ่อนคลาย
- หุ้นไทย ปรับมุมมองเป็น Overweight ครั้งแรกในรอบหลายปี แนะนำกองทุน TISCOHD-A
คำแนะนำเพิ่มเติม
Finnomena Funds เตือนนักลงทุนอย่าขายตัดขาดทุน แนะหลีกเลี่ยงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตรง แต่ให้พิจารณากองทุนพันธบัตร High Yield เช่น K-APB-A(A) หรือ ABGFIX-A แทน ส่วนทองคำ แม้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ราคาปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว
สำหรับผู้สนใจหุ้นต่างประเทศ ทางเลือกอย่าง DR (Depositary Receipts) มีข้อได้เปรียบด้านภาษี โดยสามารถใช้บริการ Definite Global Select ที่ออกแบบพอร์ตให้ถือหุ้นไม่เกิน 10 ตัว กระจายในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยจำกัดน้ำหนักไม่เกิน 20% ต่อหุ้น และสามารถถือเงินสดบางส่วนได้หากไม่มีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ พร้อมระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกเดือน เพื่อกลยุทธ์ที่แม่นยำ
สามารถลงทะเบียนเพื่อรับบริการและรับข้อมูล
Definit Global Select เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/dgs/
อ้างอิง: Finnomena Live
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจสัญญารับฝาก DR ก่อนการลงทุน | การลงทุนผ่าน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาของหลักทรัพย์ต่างประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา DR เอง | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299 | สำหรับผู้ที่สนใจ Definit Global Select สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-9933 และทาง Email support@definitinvestment.com