เมื่อพูดถึง “สงครามเย็น” ภาพในหัวของหลายคนอาจนึกถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง 2 มหาอำนาจ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต ที่ขับเคี่ยวกันทั้งด้านอาวุธ เทคโนโลยี และอิทธิพลทางการเมือง โดยไม่เคยลั่นไกใส่กันโดยตรง แต่กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

แต่วันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่สงครามเย็นยุคใหม่ ที่แม้จะไม่มีเสียงปืนหรือกำแพงกั้นเหมือนในอดีต แต่กลับเต็มไปด้วยการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าเดิมในหลายมิติ

นี่คือสงครามที่ข้อมูล เทคโนโลยี และความร่วมมือเชิงภูมิรัฐศาสตร์ กำลังกลายเป็นอาวุธใหม่ในเกมแห่งอำนาจ ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของโลกทั้งใบ

ย้อนรอยสงครามเย็น (ครั้งแรก)

สงครามเย็น

กำแพงเบอร์ลิน สัญลักษณ์ของสงครามเย็น | Source: The Guardian

สงครามเย็น (Cold War) ถือเป็นยุคที่โลกถูกแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่าง 2 มหาอำนาจที่มีระบบการเมืองและเศรษฐกิจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตย กับสหภาพโซเวียตในฐานะผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ 

ความขัดแย้งนี้ไม่เคยบานปลายจนกลายเป็นสงครามโดยตรง แต่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นในหลายมิติ ทั้งสงครามตัวแทน (Proxy War) อย่างในเกาหลี เวียดนาม และอัฟกานิสถาน การแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงการชิงความได้เปรียบทางเทคโนโลยี อย่างการแข่งขันด้านอวกาศที่นำไปสู่การส่งมนุษย์ขึ้นดวงจันทร์

ลักษณะสำคัญของสงครามเย็นคือ การแบ่งขั้วอย่างเด็ดขาดทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และอุดมการณ์ อย่างสหรัฐฯ ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจตลาดเสรี ขณะที่โซเวียตเดินหน้าแนวคิดคอมมิวนิสต์และเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ 

ทั้ง 2 ฝ่ายต่างพยายามขยายอิทธิพลไปทั่วโลกเพื่อชิงความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเศรษฐกิจของแต่ละฝ่ายถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่มีการพึ่งพากันทางการค้าและเทคโนโลยี การแข่งขันจึงกลายเป็นการแบ่งขั้วอย่างเด็ดขาด โดยมีเส้นแบ่งทางภูมิรัฐศาสตร์และอุดมการณ์ในยุโรปที่ถูกเรียกว่า “ม่านเหล็ก” (Iron Curtain)

เมื่อเวลาผ่านไป ยุคสงครามเย็นแรกจบลงพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 พร้อมกับการขึ้นเป็นมหาอำนาจโลกของสหรัฐอเมริกา

สงครามเย็นเวอร์ชันใหม่ ใครถือไพ่เหนือกว่า?

โดนัลด์ ทรัมป์ สี จิ้นผิง โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง | Source: The Guardian

แต่ในยุคปัจจุบัน ภายใต้เงื่อนไขของโลกาภิวัตน์และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งระหว่างประเทศ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ปะทุขึ้นในรูปแบบที่หลายคนเรียกว่า “Cold War 2.0” หรือ “สงครามเย็นครั้งที่ 2” ซึ่งแม้จะมีลักษณะคล้ายสงครามเย็นเดิม แต่ก็แตกต่างและซับซ้อนมากขึ้นในหลายมิติ

คู่แข่งหลักคือสหรัฐฯ มหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก กับจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์

ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการค้า แต่ขยายไปสู่สนามแข่งขันหลากหลาย เช่น เทคโนโลยีการสื่อสาร โดยสหรัฐฯ ใช้มาตรการแบนบริษัทจีนรายใหญ่ เช่น Huawei 

ขณะที่จีนพยายามพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ของตัวเอง พร้อมกันนั้น สหรัฐฯ ก็พัฒนาทั้งเทคโนโลยี AI คลาวด์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแข่งขันด้านเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจสำคัญของความขัดแย้งในยุคนี้

ในมิติการเงินระหว่างประเทศ จีนพยายามผลักดันให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินสำรองและใช้ในค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ ยังใช้อำนาจของดอลลาร์สหรัฐและระบบ SWIFT ในการควบคุมมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ 

พันธมิตรในโลกที่ต้องพึ่งพากัน

Belt and Road Initiative

เส้นทางสายไหมยุคใหม่ | Source: Asia Green Real Estate

การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุคนี้สะท้อนผ่านโครงการ Belt and Road Initiative หรือ “เส้นทางสายไหมยุคใหม่” ของจีน ที่ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และยุโรป

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ขานรับด้วยการสร้างพันธมิตรใหม่ เช่น กลุ่ม Quad ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย รวมถึงกลุ่ม AUKUS ที่มีสมาชิกคือ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้การขยายตัวของจีน

ในขณะที่จีนเองยังมีพันธมิตรสำคัญอย่างกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่มีบทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลกอย่าง บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้

อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในยุคนี้แตกต่างจากยุคสงครามเย็นครั้งแรก เพราะทั้ง 2 ประเทศพึ่งพากันและกันในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีจากจีน 

ในขณะที่จีนก็ต้องการเข้าถึงตลาดการเงินและดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สงครามเย็นครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งอาวุธ แต่เป็นสงครามข้อมูล เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนทั่วโลก

อำนาจ 2 ขั้วในโลกใบเดียว

เมื่อเปรียบเทียบ Cold War ครั้งแรกกับ Cold War 2.0 จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งเดิมเน้นไปที่อุดมการณ์แบบตรงข้ามและการแยกขั้วทางเศรษฐกิจ ขณะที่ยุคนี้ความขัดแย้งเป็นการแข่งขันที่มีหลายมิติและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีลึกซึ้ง 

สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่า ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์จะกลายเป็น “New Normal” ที่ต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่น พร้อมจับตาเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญ เช่น AI เซมิคอนดักเตอร์ และความมั่นคงไซเบอร์ รวมถึงโอกาสในประเทศตัวกลางที่สามารถบาลานซ์อำนาจได้ เช่น อินเดียและกลุ่มอาเซียน ซึ่งอาจกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจในครั้งนี้

Finnomena Funds แนะนำกองทุนสายตั้งรับ หาโอกาสจากความผันผวน

  • กองทุน ES-GAINCOME-A และ ES-GAINCOME-RP ที่มีความยืดหยุ่นทั้งในเชิงความหลากหลายของประเภทสินทรัพย์ทั่วโลก มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Global Multi Asset Allocation เน้นสร้างผลตอบแทนและกระแสเงินสดสูง
  • กองทุน K-GPINUH-A(A) และ K-GPINUH-A(R) ที่ลงทุนหุ้นโลกสาย Defensive มีรายได้ Premium ในช่วงตลาดขาลง เหมาะกับจังหวะในการสลับจากหุ้น Growth ไปยังหุ้นตั้งรับ เช่น Health Care, Consumer Staples, Utility

อ้างอิง: Britannica, The Strategist, The Diplomat

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept Help Center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

 

Wealth Health Check