
คืนวันที่ 17 กันยายน 2025 การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ Fed ถือเป็นครั้งสำคัญที่ทั่วโลกจับตามอง เพราะมีแนวโน้มสูงที่จะตัดสินใจลดดอกเบี้ย แม้อัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวเหนือเป้าหมาย 2% ก็ตาม
แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นอยู่ที่เหตุผลประกอบในการปรับอัตราดอกเบี้ยของรอบนี้ว่าจะออกมาในโทน Hawkish ดุดันแข็งกร้าว หรือมีท่าที Dovish ยืดหยุ่นและประนีประนอม รวมถึงมุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึงจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก
JPMorgan ได้ออก Trading Desk ประเมินฉากทัศน์ความเป็นไปได้ในการตัดสินใจของ Fed พร้อมประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ว่าจะไปในทิศทางไหนต่อจากนี้ ?
ความเป็นไปได้ที่ 1: ลดดอกเบี้ย 0.25% ด้วยมุมมองผ่อนคลาย Dovish โอกาสเกิดขึ้นสูงสุด 47.5%
คาดว่า S&P 500 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.5% ถึง +1% เพราะ Fed คงมองว่าแรงกดดันเงินเฟ้อเป็นเพียงชั่วคราว และตลาดแรงงานไม่ได้สร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงเลือกลดดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจให้ไปต่อ
ความเป็นไปได้ที่ 2: ลดดอกเบี้ย 0.25% ด้วยมุมมองแข็งกร้าว Hawkish มีโอกาสเกิดขึ้น 40.0%
คาดว่า S&P 500 จะทรงตัว หรือติดลบ -0.5% โดยมีปัจจัยกดดันจากสัญญาณการจ้างงาน แสดงว่า Fed มีความกังวลต่อตลาดแรงงานมากกว่าเงินเฟ้อ
ความเป็นไปได้ที่ 3: ลดดอกเบี้ย 0.50% มีโอกาสเกิดขึ้น 7.5%
หากเกิดขึ้นจริง S&P 500 อาจเหวี่ยง -1.5% ถึง +1.5% เนื่องจากเซอร์ไพรส์ตลาด โดยจะอยู่ที่คำอธิบายของ Fed ว่ากังวลตลาดแรงงานมากกว่าที่เคยบอก หรือจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจจริงที่แรงงานกำลังชะลอ
ความเป็นไปได้ที่ 4: คงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5% มีโอกาสเกิดขึ้น 4%
คาดว่า S&P 500 อาจร่วงแรง -1% ถึง -2% เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะคงดอกเบี้ยแล้ว เพราะฉะนั้น หาก Fed เลือกแนวทางนี้ แปลว่าประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจแตกต่างจากที่ตลาดตีความ และจะตามมาด้วยแรงขายหุ้นทันที
ความเป็นไปได้ที่ 5: ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีโอกาสเกิดเพียง 1%
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด และโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ถ้ามาจริงตลาดหุ้นจะเจอแรงขายรุนแรง อาจร่วง -2% ถึง -4% เนื่องจากเป็นทางเลือกที่เสี่ยงมาก
Finnomena Funds แนะนำสะสมกองทุนตราสารหนี้คุณภาพสูง
แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed อีก 3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะหนุน Upside ต่อกองทุนตราสารหนี้โลกระยะยาว ในขณะที่ Bond Yield ยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าลงทุน
กองทุน KT-BOND ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกระยะยาว ปัจจุบันมี Duration ประมาณ 7 ปี และให้ Yield to Maturity ที่ประมาณ 6.42%
กองทุน K-GDBOND-A(A) ลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภททัวโลก ด้วยกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น ปรับพอร์ตได้อิสระตามสภาวะตลาด ปัจจุบันมี Duration ประมาณ 5 ปี และให้ Yield to Maturity ที่ประมาณ 6.31%
– อ่านเพิ่มติม จังหวะ Fed ลดดอกเบี้ย โอกาสใหม่ในกองทุนตราสารหนี้โลก
ที่มา: news.futunn.com/en/post/62148856/jpmorgan-reviews-five-possible-outcomes-of-the-fed-s-decision
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
