
ในช่วงที่โลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นักลงทุนอินเดียกำลังหันกลับมามอง “บ้านตัวเอง” อีกครั้ง แทนที่จะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดโลกที่ยังคงผันผวน
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความผันผวนในตลาดการเงินโลกทวีความรุนแรงขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีดุดันและคาดเดาได้ยากผ่านนโยบายภาษี ทำให้นักลงทุนทั่วโลกรวมถึงในอินเดีย ต่างเริ่มมองหาตลาดที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้น้อยลง
กระแสเงินทุนหนุนตลาดหุ้นอินเดีย
จากการรายงานของ Reuters และ Bloomberg พบว่านักลงทุนในอินเดียเริ่มหันมาโฟกัสหุ้นในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่พึ่งพาปัจจัยภายใน เช่น หุ้นกลุ่มบริโภคพื้นฐาน และธนาคาร
ขณะเดียวกัน กองทุนรวมหุ้นภายในประเทศยังได้รับกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเดือนละราว 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 100,000 ล้านบาท) แม้จะต่ำกว่าจุดสูงสุดเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงหลายปีก่อน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นอินเดียเองก็ยืนหยัดได้ดีท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก โดยดัชนี BSE Sensex และ Nifty 50 ปรับตัวค่อนข้างนิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นหลายประเทศในเอเชียเผชิญแรงขาย เช่น ฮ่องกงที่ดัชนีลดลงกว่า -10% และเวียดนามที่ร่วงเกิน -7% ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนว่านักลงทุนบางส่วนอาจมองว่าอินเดียเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยกว่า
ด้านบริษัทวาณิชธนกิจอย่าง Jefferies ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันวิเคราะห์ตลาดชั้นนำจากสหรัฐฯ ได้ปรับมุมมองต่อหุ้นอินเดียขึ้นเป็น “Overweight” พร้อมชี้ว่าตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามภาษีน้อยกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังเติบโตต่อเนื่อง มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และไม่พึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ หรือจีนในระดับที่สูง
ปัจจัยในประเทศหนุนความเชื่อมั่น
อีกด้านหนึ่ง ค่าเงินรูปีอินเดียก็เคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพในช่วงที่ข่าวภาษีของสหรัฐฯ เริ่มสงบลง นักวิเคราะห์มองว่า เงินรูปีได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายใน เช่น คาดการณ์ฤดูฝนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ย และระดับเงินเฟ้อในประเทศที่ลดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี
เมื่อรวมภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน เทรนด์ “กลับบ้าน” ของนักลงทุนอินเดียกำลังสะท้อนให้เห็นถึงการปรับมุมมองของนักลงทุนในอินเดีย ที่เริ่มให้น้ำหนักกับความมั่นคงและเสถียรภาพภายในประเทศมากขึ้น ในช่วงที่ความไม่แน่นอนจากนอกประเทศยังคงกดดัน
โอกาสลงทุน กองทุนหุ้นอินเดีย
Finnomena Funds แนะนำเข้าลงทุนตามการพิจารณา MEVT Call เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยเป็นจังหวะสะสมหุ้นอินเดีย ผ่านกองทุน B-BHARATA และ TISCOINA-A หนุนโดยโครงสร้างเศรษฐกิจ ประมาณการกำไรเริ่มมีเสถียรภาพ รวมถึงสัญญาณ Technical และ Fund Flow เริ่มเป็นบวก
- B-BHARATA เป็นกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ
- TISCOINA-A เป็นกองทุนรวมหุ้นอินเดียซึ่งเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management และคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up โดยลงทุนผ่าน 3 กองทุนหลักในสัดส่วนใกล้เคียงกัน
อ้างอิง: Reuters, Yahoo Finance, MarketScreener
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299