
Highlight
- ทำไมคนส่วนใหญ่ถึง “ทำผิด” เมื่อหุ้นร่วง
- ตัวอย่างนักลงทุน Contrarian
- กฎเหล็ก 3 ข้อของนักลงทุน Contrarian
- วิธีฝึกจิตใจให้ “ซื้อเมื่อเลือดนองถนน”
- ลงทุนจัดพอร์ตสไตล์ Contrarian กับ Dynamic Contrarian Model Portfolio
“จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว” – วอร์เรน บัฟเฟตต์
ท่ามกลางตลาดหุ้นที่ร่วงหนัก เศรษฐกิจที่ซบเซา และข่าวร้ายที่ระดมยิงมาจากทุกทิศทาง แทนที่จะวิ่งหนีเหมือนทุกคน กลับมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในตลาด พวกเขาคือ “Contrarian Investor” หรือนักลงทุนที่กล้าเดินสวนกระแส
การลงทุนแบบ Contrarian คือสไตล์การลงทุนที่ตรงข้ามกับความเชื่อหรือการกระทำของคนส่วนใหญ่ในตลาด เมื่อทุกคนเทขายหุ้นด้วยความหวาดกลัว นักลงทุนสาย Contrarian จะเข้าซื้อ เพราะพวกเขาเชื่อว่า “โอกาสที่ดีที่สุดอยู่ในช่วงเวลาที่ตลาดหวาดกลัวที่สุด”
และเมื่อตลาดบูมจนเกิดความโลภมากเกินไป พวกเขาจะเริ่มขาย แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อว่าตลาดมักจะเคลื่อนไหวด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล โดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึง “ทำผิด” เมื่อหุ้นร่วง
เวลาเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นร่วงหรือเศรษฐกิจชะลอตัว คนส่วนใหญ่มักจะทำเหมือนกันหมดคือ ขายทุกอย่างแล้วหนีไปกอดเงินสด จากนั้นก็รอให้ทุกอย่างดีขึ้น รู้ตัวอีกทีหุ้นก็เด้งแรงจนไม่กล้าซื้อ
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? คำถามนี้สามารถตอบได้ด้วย “อคติทางจิตวิทยา” ต่อไปนี้
1. อคติจากฝูงชน (Herd Bias)
เรามีแนวโน้มที่จะรู้สึกปลอดภัยเมื่อทำตามคนอื่น การเห็นทุกคนเทขายหุ้นทำให้เรารู้สึกว่าการขายตามเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าเหตุผลจริง ๆ จะไม่หนักแน่นพอก็ตาม
2. อคติจากความกลัวสูญเสีย (Loss Aversion)
การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์พบว่า เรากลัวเสียเงินมากกว่าดีใจที่ได้กำไร ถึงแม้จะมีจำนวนเท่ากัน เช่น เมื่อเห็นพอร์ตลงทุนติดลบ 30% ความเจ็บปวดทางจิตใจจะรุนแรงมาก จนทำให้หลายคนยอมขายขาดทุนเพื่อบรรเทาความทุกข์
3. อคติจากข่าวสารเชิงลบ (Negativity Bias)
สมองของเรามีแนวโน้มจะให้น้ำหนักกับข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจสื่อมักจะเต็มไปด้วยข่าวร้าย ส่งผลให้เรามองสถานการณ์แย่กว่าความเป็นจริง
4. การมองระยะสั้นเกินไป (Short-termism)
เมื่อเผชิญความผันผวน คนส่วนใหญ่มักจะมองเพียงแค่สถานการณ์ตรงหน้า หลายคนมักจะรู้สึกตื่นตระหนกและตัดสินใจโดยยึดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เพราะมันทำให้เราเห็น “ผลลัพธ์ทันที” โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
นักลงทุนสาย Contrarian ใช้จุดอ่อนเหล่านี้เป็นโอกาส พวกเขารู้ว่าความกลัวของฝูงชนมักเกินจริง และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ถูกมองข้าม
ตัวอย่างนักลงทุน Contrarian ที่ประสบความสำเร็จ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) – คุณปู่เจ้าพ่อ VI
คงไม่มีใครเป็นตัวอย่างของการลงทุนแบบ Contrarian ได้ดีเท่ากับ “คุณปู่เจ้าพ่อ VI” อย่าง Warren Buffett ที่ใช้ใช้กลยุทธ์ Contrarian ตลอดชีวิตการลงทุนของเขา
โดยในปี 2008 ขณะที่ตลาดหุ้นดิ่งลงเพราะวิกฤติซับไพรม์ Buffett กลับเข้าซื้อหุ้นของ Goldman Sachs และ Bank of America ในราคาถูก และทำกำไรได้สูงถึง 3,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 126,000 ล้านบาท) และ 12,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 409,000 ล้านบาท) ตามลำดับ
ไมเคิล เบอร์รี่ (Michael Burry) – ผู้พยากรณ์การล่มสลาย
หลายคนน่าจะรู้จัก Michael Burry จากภาพยนตร์เรื่อง The Big Short เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำนายไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดวิกฤตซับไพรม์
Burry ไม่เพียงมองเห็นวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ยังกล้า เดิมพันด้วยเงินจำนวนมหาศาลกับมุมมองสวนกระแส แม้ว่าขณะนั้นตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ กำลังบูม แต่เขาก็ใช้ Credit Default Swaps ซึ่งเทียบได้กับการ Short Sell ในสินเชื่อบ้านที่ไม่มีคุณภาพ และกลายเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2008 (700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท)
ปัจจุบันเขายังคงเป็นตัวอย่างของนักลงทุนที่กล้าคิดต่าง มองหาสิ่งที่ตลาดมองข้าม และไม่กลัวที่จะยืนหยัดในแนวคิดของตัวเอง แม้จะต้องเผชิญกับกระแสคัดค้านก็ตาม
เซอร์จอห์น เทมเพิลตัน (Sir John Templeton) – นักล่าดีลราคาถูก
Sir John Templeton เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเริ่มต้นด้วยการยืมเงิน 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 341,000 ล้านบาท) ในปี 1939 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้โอกาสนี้เข้าซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดนิวยอร์กที่มีราคาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ (รวม 104 บริษัท)
4 ปีต่อมา หุ้นเหล่านั้นพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว เขาทำกำไรได้มากถึง 300% และกลายเป็นตำนานแห่งการลงทุน พร้อมกับคำพูดที่โด่งดังว่า
ตลาดกระทิงถือกำเนิดจากความสิ้นหวัง เติบโตด้วยความสงสัย เฟื่องฟูเมื่อเกิดความเชื่อมั่น และจบลงด้วยความลิงโลด
กฎเหล็ก 3 ข้อของนักลงทุน Contrarian
1. ไม่ต้องจับจังหวะตลาด แต่ให้มองหา “ความเกินพอดี”
นักลงทุน Contrarian ที่เก่งไม่ใช่คนที่สามารถทำนายจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของตลาดได้แม่นยำ แต่เป็นคนที่รู้จักมองหาความเกินพอดีของตลาด เช่น
- P/E Ratio ของตลาดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี มากกว่า 30%
- หุ้นที่เคยเป็นขวัญใจนักลงทุน แต่ถูกเทขายจน P/E Ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเกิน 50%
- ตลาดหุ้นบวกติดต่อกัน 10 เดือน โดยไม่มีการปรับฐาน
- ราคาหุ้นดิ่งหนักจาก Panic Sell จนมูลค่าบริษัทต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (P/B Ratio < 1)
2. ทำการบ้านอย่างหนัก มองหาคุณค่าที่แท้จริง
การเป็น Contrarian ไม่ได้หมายถึงการซื้อทุกอย่างที่ราคาลงแรง บางครั้ง ราคาที่ลงก็มีเหตุผลอันสมควร นักลงทุน Contrarian ที่ดีต้องแยกแยะระหว่าง “ราคาถูกจริง” กับ “ราคาถูกเพราะมีปัญหา” ให้ได้ โดย
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียด (งบการเงิน, กระแสเงินสด, หนี้สิน)
- ประเมินความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว (Moat)
- พิจารณาศักยภาพในการเติบโตภายหลังวิกฤตผ่านพ้น
- คำนวณมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) และเปรียบเทียบกับราคาตลาด
3. คิดต่าง แต่ต้องมีเหตุผลรองรับ
การลงทุนแบบ Contrarian ไม่ได้แปลว่าต้องสวนทุกครั้ง แต่ต้องใช้เหตุผลและหลักฐานมาสนับสนุนเสมอเพราะการลงทุนโดยไม่มีข้อมูลรองรับนั้นไม่ต่างจากการพนัน
นักลงทุนแนว Contrarian ไม่ได้แค่ “สวนตลาด” แบบไร้ทิศทาง แต่พวกเขาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างรอบคอบ เพื่อค้นหาโอกาสที่ตลาดมองข้าม ซึ่งอาจเป็นหุ้นที่ถูกขายมากเกินไป หรือธุรกิจที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนส่วนใหญ่
วิธีฝึกจิตใจให้ “ซื้อเมื่อเลือดนองถนน”
การเป็นนักลงทุน Contrarian ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องอาศัยความแข็งแกร่งทางจิตใจอย่างมาก และนี่คือวิธีที่จะช่วยฝึกจิตใจของเราให้กล้าซื้อในวันที่ตลาดปรับฐานแรง (หากสินทรัพย์นั้นมีพื้นฐานดีจริง)
1. เตรียมใจไว้ล่วงหน้า ตลาดจะต้องผันผวนเสมอ
หากเรารู้ตั้งแต่แรกว่าตลาดจะต้องมีช่วงขาลงอย่างรุนแรงทุก 5 – 10 ปี เราจะรับมือได้ดีกว่า ลองใช้เวลาในช่วงที่ตลาดปกติศึกษาวิกฤตในอดีตดูว่า ตลาดปรับตัวลงแรงแค่ไหนและใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะฟื้นตัวกลับมา เมื่อความผันผวนมาถึงเราจะได้ไม่รู้สึกว่านี่คือ “การล่มสลายครั้งสุดท้าย” ของตลาด
2. มองบทเรียนจากอดีต ทุกวิกฤตเคยเป็นโอกาส
ลองดูกราฟดัชนีตลาดหุ้นระยะยาว 50 – 100 ปี เราจะเห็นว่าวิกฤตทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Black Monday ปี 1987, Dot-com Bubble ปี 2000, วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 หรือ Covid-19 ปี 2020 ล้วนเป็นจุดซื้อที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว
3. มีเงินสดสำรองไว้เสมอ
นักลงทุน Contrarian ควรเตรียมเงินสดให้พร้อมเสมอ เพื่อฉกฉวยโอกาสเมื่อเกิดการปรับฐานในตลาด หากไม่มีเงินสดเพียงพอ เราอาจพลาดโอกาสในการซื้อในราคาที่ถูกจริง ๆ ลองจัดสรรพอร์ตให้มีเงินสดประมาณ 10 – 30% เพื่อพร้อมรับมือกับความผันผวน
4. บันทึกแผนการลงทุนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
มนุษย์เรามักถูกครอบงำด้วยอารมณ์ เมื่อความกลัวครอบงำตลาด ลองเขียนกลยุทธ์และเหตุผลในการลงทุนไว้ล่วงหน้า จากนั้นตั้งเกณฑ์การเข้าซื้อที่ชัดเจน เช่น “หากดัชนีลดลง 20% จากจุดสูงสุด จะใช้เงิน 25% ของเงินสดที่มีเข้าลงทุน” เพื่อให้เราสามารถยึดเหนี่ยวกับแผนการที่วางไว้อย่างมีเหตุผล แม้ในยามที่ความกลัวกำลังครอบงำตลาด
5. มองวิกฤตเป็นการลดราคาครั้งใหญ่
ลองเปลี่ยนมุมมองจาก “ตลาดหุ้นกำลังล่มสลาย” เป็น “ตลาดหุ้นกำลังลดราคาครั้งใหญ่” เราจะรู้สึกตื่นเต้นแทนที่จะกลัว เมื่อเห็นบริษัทที่มีคุณภาพมีราคาถูกลง 30 – 50% จากราคาปกติ นี่คือโอกาสที่แท้จริงของนักลงทุนระยะยาว
DCM (Dynamic Contrarian Model Portfolio) พอร์ตลงทุนสไตล์ Contrarian
DCM หรือ Dynamic Contrarian Model Portfolio เป็นพอร์ตลงทุนสไตล์ Contrarian ที่ออกแบบมาเพื่อคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ วิเคราะห์แบบอ่านขาดด้วยกลยุทธ์หลักคือ ‘ย่อซื้อ ขึ้นขาย’ เน้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้นรายประเทศ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคาปรับตัวลดลง หรือกำลังกลับเข้าสู่ขาขึ้น รวมถึงใช้หลักการเดียวกันในการเข้าลงทุนตราสารหนี้ และหลักทรัพย์ทางเลือก
ดูข้อมูลเพิ่มเติมพอร์ต DCM (Dynamic Contrarian Model) ได้ที่ https://www.finnomena.com/dcm/
สนใจลงทุนในพอร์ต Dynamic Contrarian Model Portfolio
คลิก https://finnomena.onelink.me/10bl/dcm
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort



