
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ร่วมกับกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จัดงานสัมมนา “THAI ON TOP ยกทัพ ยกระดับ ตลาดทุนไทย” ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเปิดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับทิศทางตลาดทุนไทย และค้นหาโอกาสลงทุนระยะยาวผ่าน “Thai ESGX” กองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนอย่างยั่งยืน พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าสนใจ

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนชั้นนำของประเทศ โดยคุณชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า “ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย แต่โอกาสยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเกือบ 5%”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ให้มุมมองว่า จุดแข็งของหุ้นไทยตอนนี้คือปันผลดี หลายบริษัทในไทยยังมีกระแสเงินสดที่ดีมาก โดยหลักการเลือกหุ้นไทยนั้นต้องหากลุ่มธุรกิจที่แข็งแกร่ง ปันผลดี และราคาปรับตัวลงมาให้ซื้อ ขณะที่คุณ Andrew Stotz นักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ เปรียบหุ้นไทยเหมือนกบในบ่อน้ำ ที่เคลื่อนไหวไม่หวือหวา แต่ด้วย Valuation ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ทำให้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาส
ด้านคุณวศิน ปริธัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท เน้นย้ำว่า “โอกาสของเศรษฐีใหม่มักเกิดในช่วงวิกฤต” ปัจจุบัน P/BV ของหุ้นไทยอยู่ที่ 1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก ส่วนคุณธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอลทีเอ็มเอช และผู้ก่อตั้งเพจลงทุนแมน กล่าวว่า “เวลานี้เป็นช่วงที่หุ้นไทยถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ของชีวิตใครหลายคน หากเข้าลงทุนตอนนี้ถือเป็นราคาที่ได้เปรียบมากในเชิงมูลค่ากิจการ”
อย่างไรก็ตาม คุณภาคภูมิ ศิริหงษ์ทอง นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) มองว่า หุ้นไทยยังขาดนวัตกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ แต่แนะนำให้นักลงทุนมองหาหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรและกระแสเงินสดที่ดี เช่นเดียวกับ คุณวราพรรณ วงศ์สารคาม เลขานุการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ที่ได้เน้นย้ำหลักการลงทุนแบบ DCA หรือทยอยลงทุนสม่ำเสมอ โดยเฉพาะตอนที่ราคาตกลงมารุนแรง พร้อมชี้ว่าหุ้นปันผลสามารถช่วยพยุงพอร์ตได้
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านยังเน้นย้ำถึงบทบาทของกองทุน Thai ESGX ในฐานะทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนไทย โดยคุณธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ชี้ว่า กองทุน Thai ESGX เป็นทางเลือกลดหย่อนภาษีอันดับแรก ๆ สำหรับคนที่ต้องการวงเงินลดหย่อนภาษี ซึ่งเมื่อนำมารวมกับกองทุนประเภทอื่น ๆ จะให้วงเงินลดหย่อนภาษีปี 2568 สูงสุดถึง 1.4 ล้านบาท ส่วนคุณเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Finnomena มองว่าหุ้นไทยตอนนี้เหมือนหุ้นปันผลในราคาที่น่าสนใจ แนะนำให้ผู้ที่ถือ LTF พิจารณาสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนมาใช้สิทธิใน Thai ESGX
ในช่วงท้ายของงาน ยังมี Special Session โดยคุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ แต่เชื่อว่าประเทศไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ หากมีการตัดสินใจทางด้านนโยบายที่ถูกต้อง พร้อมกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ได้กำหนดอนาคต แต่การตัดสินใจวันนี้ต่างหากที่จะชี้ชะตาอนาคต”


