ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนทุกมิติของชีวิตมนุษย์ “ยา” ยังคงเป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำเพียงใด มนุษย์ก็ยังต้องการ “การรักษา”

“อุตสาหกรรมยา” คือเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ทุกโรคคือโอกาสทางธุรกิจ และทุกนวัตกรรมทางการแพทย์คือสนามที่บริษัทยาระดับโลกแข่งขันกันด้วยงบวิจัยนับพันล้าน เพื่อแย่งชิงอนาคตของสุขภาพมนุษย์

ต่อไปนี้คือภาพรวมของผลประกอบการและธุรกิจหลักของ “10 บริษัทเภสัชกรรมชั้นนำของโลก” ที่ไม่เพียงรักษาชีวิตผู้คน แต่ยังขับเคลื่อนเทรนด์สุขภาพแห่งศตวรรษที่ 21

1. Eli Lilly (LLY)

Eli Lilly

Eli Lilly เชี่ยวชาญในเรื่องโรคเบาหวานและโรคอ้วน บริษัทมีผลิตภัณฑ์เรือธงทั้ง Mounjaro สำหรับเบาหวาน และ Zepbound สำหรับลดน้ำหนัก จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้นำตลาดในโรคเรื้อรัง

รายได้ Q2/2025 15,560 ล้านดอลลาร์ (+38%)

  • Mounjaro (ยารักษาเบาหวาน) 5,200 ล้านดอลลาร์ (+68%)
  • Zepbound (ยาลดน้ำหนัก) 3,380 ล้านดอลลาร์ (+172%)
  • Verzenio (ยารักษามะเร็ง) 1,490 ล้านดอลลาร์ (+12%)

ภูมิภาค 

  • สหรัฐฯ 10,810 ล้านดอลลาร์ (+38%)
  • นอกสหรัฐฯ 4,740 ล้านดอลลาร์ (+37%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย 

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 3,340 ล้านดอลลาร์ (+23%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 2,750 ล้านดอลลาร์ (+30%)
  • Gross Margin 84.3%

กำไร 

  • Net Income 5,660 ล้านดอลลาร์ (+91%)
  • EPS 6.29 ดอลลาร์/หุ้น (+92%)

2. Johnson & Johnson (JNJ)

Johnson & Johnson

Johnson & Johnson เป็นบริษัทข้ามสายธุรกิจที่มีทั้งยา อุปกรณ์การแพทย์ และสินค้าเพื่อผู้บริโภค เช่น เครื่องสำอางหรือเวชภัณฑ์พื้นฐาน ความหลากหลายนี้ช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวได้แม้บางตลาดจะชะลอตัว

รายได้ Q2/2025 23,740 ล้านดอลลาร์ (+5.8%)

  • Innovative Medicine 15,200 ล้านดอลลาร์ (+4.9%) 
  • MedTech 8,540 ล้านดอลลาร์ (+7.3%)

ภูมิภาค 

  • สหรัฐฯ 13,540 ล้านดอลลาร์ (+7.8%)
  • นอกสหรัฐฯ 10,200 ล้านดอลลาร์ (+3.2%)

ต้นทุน & กระแสเงินสด

  • Cost of Sales 6,870 ล้านดอลลาร์ (+5%)
  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 3,420 ล้านดอลลาร์ (+4%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 5,110 ล้านดอลลาร์ (+6%)
  • Free Cash Flow ครึ่งปีแรก 6,200 ล้านดอลลาร์ (ลดจาก 7,507 ล้านดอลลาร์)

กำไร 

  • Net Income 5,540 ล้านดอลลาร์ (+18.2%)
  • EPS 2.29 ดอลลาร์/หุ้น (+18.7%)
  • Adjusted EPS 2.77 ดอลลาร์/หุ้น (-1.8%)

3. AbbVie (ABBV)

AbbVie

AbbVie เน้นไปที่ภูมิคุ้มกันและชีวเภสัชกรรม โดยมียา Skyrizi และ Rinvoq เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก นอกจากนี้บริษัทยังมียา Oncology และผลิตภัณฑ์ด้านความงามอีกด้วย

รายได้ Q2/2025 15,420 ล้านดอลลาร์ (+6.6%)

  • Immunology (กลุ่มภูมิคุ้มกัน) 7,630 ล้านดอลลาร์ (+9.5%)
  • Neuroscience (กลุ่มประสาทและสมอง) 2,680 ล้านดอลลาร์ (+24.2%)
  • Oncology (กลุ่มมะเร็ง) 1,680 ล้านดอลลาร์ (+2.6%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 2,100 ล้านดอลลาร์ (+8%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 3,250 ล้านดอลลาร์ (+5%)
  • Gross Margin 84.4%

กำไร

  • Adjusted EPS 2.97 ดอลลาร์/หุ้น (+12.1%)
  • GAAP EPS 0.52 ดอลลาร์/หุ้น (-32.5%)
  • Net Income 4,164 ล้านดอลลาร์

4. Roche (ROG)

Roche

Roche เป็นยักษ์ใหญ่จากยุโรปที่ทั้งพัฒนาและจำหน่ายยารักษาโรค พร้อมกับเครื่องมือวินิจฉัยทางการแพทย์ ทำให้มีรายได้สมดุลระหว่างยาและการวินิจฉัยทางการแพทย์

รายได้ H1/2025 30,944 ล้านดอลลาร์ (+7% CER)

  • Pharma (ยา) 23,985 ล้านดอลลาร์ (+10%)
  • Diagnostics (การวินิจฉัยทางการแพทย์) 6,959 ล้านดอลลาร์ (ทรงตัว)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • Cost of Sales 7,562 ล้านดอลลาร์ (+8%)
  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 6,074 ล้านดอลลาร์ (-1%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 6,508 ล้านดอลลาร์ (+5%)
  • Non-Core Items 1,023 ล้านดอลลาร์

กำไร

  • Net Income 7,832 ล้านดอลลาร์ (+17%)
  • Core EPS 11.08 ฟรังก์สวิส/หุ้น (+12%)

5. AstraZeneca (AZN)

AstraZeneca

AstraZeneca โฟกัสที่ยามะเร็งและชีวเภสัชกรรม โดย Oncology และ BioPharma เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก พร้อมกับการลงทุนใน Rare Disease และนวัตกรรมใหม่ ๆ

รายได้ Q2/2025 14,457 ล้านดอลลาร์ (+11%)

  • Oncology (กลุ่มมะเร็ง) 6,312 ล้านดอลลาร์ (+18%)
  • BioPharma (ชีวเภสัชภัณฑ์) 5,601 ล้านดอลลาร์ (+7%)
  • Rare Disease (โรคหายาก) 2,294 ล้านดอลลาร์ (+7%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 3,548 ล้านดอลลาร์ (+18%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 4,864 ล้านดอลลาร์ (+1%)
  • Gross Margin 83%

กำไร

  • Core EPS 2.17 ดอลลาร์/หุ้น (+12%)
  • Operating Margin 32%
  • Net Income 2,448 ล้านดอลลาร์

6. Novo Nordisk (NVO)

Novo Nordisk

ผู้นำเรื่องยารักษาเบาหวานและโรคอ้วน ผลิต GLP-1 และยาเซลล์บำบัด บริษัทมีกลยุทธ์ชัดเจนในการสร้างความเป็นผู้นำตลาดโรคเรื้อรัง

รายได้ Q2/2025 76,857 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+13%)

    • Obesity Care (การดูแลโรคอ้วน) 20,372 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+53%)
  • GLP-1 Diabetes (เบาหวาน) 38,366 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+8)
  • Rare disease (โรคหายาก) 4,919 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+28%)
  • อินซูลิน 12,746 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+5%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 11,690 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (-26%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 17,533 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+19%)

กำไร

  • Operating Profit 33,449 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+29%)
  • Net Income 26,503 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (+32%)
  • EPS 5.96 โครเนอเดนมาร์ก/หุ้น(+33%)

7. Novartis (NVS)

Novartis

ผู้นำด้านนวัตกรรมยาชีวภาพจากสวิตเซอร์แลนด์ โฟกัสธุรกิจหลัก 5 กลุ่ม ได้แก่ ยามะเร็ง (Oncology) โรคหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ภูมิคุ้มกัน และโรคหายาก (Rare Disease) โดยมียาหลักอย่าง Entresto Cosentyx และ Kisqali เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ

รายได้ Q2/2025 14,054 ล้านดอลลาร์ (+12%)

  • Oncology (กลุ่มมะเร็ง) 5,400 ล้านดอลลาร์ (+16%)
  • Cardio-Renal (ระบบหัวใจและไต) 2,900 ล้านดอลลาร์ (+13%)
  • Immunology (กลุ่มภูมิคุ้มกัน) 2,200 ล้านดอลลาร์ (+8%)
  • Neuroscience (กลุ่มประสาทและสมอง) 1,800 ล้านดอลลาร์ (+10%)
  • Rare Disease (โรคหายาก) 1,100 ล้านดอลลาร์ (+7%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 2,380 ล้านดอลลาร์ (+12%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 3,050 ล้านดอลลาร์ (+6%)
  • Gross Margin 81%

กำไร

  • Operating Income 4,864 ล้านดอลลาร์ (+21%)
  • Net Income 4,024 ล้านดอลลาร์ (+24%)
  • Core EPS 2.07 ดอลลาร์/หุ้น (+29%)
  • Free Cash Flow 6,333 ล้านดอลลาร์ (+37%)

8. Merck Group (MRK)

Merck

เน้น Oncology และ Vaccines ผลิตภัณฑ์สำคัญอย่าง Keytruda และ Gardasil สนับสนุนการเติบโต พร้อม Pipeline ใหม่สำหรับโอกาสในอนาคต

รายได้ Q2/2025 14,800 ล้านดอลลาร์ (+9%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • Cost of Sales 3,560 ล้านดอลลาร์
  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 4,050 ล้านดอลลาร์ (+15%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 2,650 ล้านดอลลาร์ (-3%)
  • Gross Margin 76%

กำไร

  • Net Income 4,200 ล้านดอลลาร์ (+11%)
  • EPS 1.94 ดอลลาร์/หุ้น (+10%)

9. Amgen Inc. (AMGN)

Merck

บริษัทยาชีวเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ที่เน้นพัฒนา ยานวัตกรรม (Innovative Drugs) และ ยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilars) เพื่อรักษาโรคเรื้อรัง มะเร็ง และโรคหายาก 

รายได้ Q2/2025 9,180 ล้านดอลลาร์ (+9%)

  • Repatha (ยาลดคอเลสเตอรอล) 696 ล้านดอลลาร์ (+31%)
  • Evenity (ยารักษาโรคกระดูกพรุน) 518 ล้านดอลลาร์ (+32%)
  • Blincyto (ยามะเร็งเม็ดเลือดขาว) 384 ล้านดอลลาร์ (+45%)
  • Tezspire (ยารักษาโรคหอบหืด) 342 ล้านดอลลาร์ (+46%)
  • Uplizna (ยาโรคหายาก) 176 ล้านดอลลาร์ (+91%)
  • Prolia (-4%) และ Enbrel (-34%)

ภูมิภาค

  • สหรัฐฯ 5,970 ล้านดอลลาร์ (+8%)
  • นอกสหรัฐฯ 3,210 ล้านดอลลาร์ (+10%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 1,740 ล้านดอลลาร์ (+21%)
  • SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) ลดลง 5%
  • Cost of Sales 3,010 ล้านดอลลาร์ (-7%)
  • Free Cash Flow 1,900 ล้านดอลลาร์ (ลดลงจาก 2,200 ล้านดอลลาร์)
  • Gross Margin 65.7%

กำไร

  • Operating Income 2,660 ล้านดอลลาร์ (+40%)
  • Net Income 2,260 ล้านดอลลาร์ (+38%)
  • EPS 2.65 ดอลลาร์/หุ้น (+92%)

10. Gilead Sciences (GILD)

Gilead Sciences

ผู้เชี่ยวชาญยา HIV มะเร็ง และโรคตับ Trodelvy® สำหรับมะเร็ง และ Biktarvy® สำหรับ HIV เป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลัก พร้อมลงทุนใน Cell Therapy และยาใหม่ ๆ

รายได้ Q2/2025 7,080 ล้านดอลลาร์ (+2%)

  • HIV 5,090 ล้านดอลลาร์ (+7%)
  • Biktarvy (ยาต้านไวรัส HIV) 3,530 ล้านดอลลาร์ (+9%)
  • Trodelvy (มะเร็ง) 364 ล้านดอลลาร์ (+14%)

ต้นทุนและค่าใช้จ่าย

  • R&D (การวิจัยและพัฒนา) 1,490 ล้านดอลลาร์ (+7%)
  • Gross Margin 86.9%

กำไร

  • EPS 1.56 ดอลลาร์/หุ้น (+21%)
  • Free Cash Flow 827 ล้านดอลลาร์
  • ปันผล 0.79 ดอลลาร์/หุ้น และ ซื้อหุ้นคืน 6,000 ล้านดอลลาร์

ข้อสังเกตเชิงกลยุทธ์

  1. Mega-trends สุขภาพ โรคอ้วน เบาหวาน มะเร็ง ภูมิคุ้มกัน ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
  2. Gross Margin สูง ส่วนใหญ่ 78–85% สะท้อนอำนาจในการกำหนดราคา และการควบคุมต้นทุน
  3. EPS เติบโต 2 หลัก บ่งชี้ผลกำไรแข็งแกร่งแม้บางตลาดจะชะลอตัว
  4. R&D (การวิจัยและพัฒนา) การลงทุนสูงต่อเนื่องเพื่อ Pipeline ใหม่ และการเข้าซื้อกิจการเพื่อเสริมกลยุทธ์ยังคงสูง
  5. ภูมิภาค สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลัก แต่ยุโรปและเอเชียเริ่มเติบโตชัดเจน

โอกาสลงทุนกองทุนหุ้นโลก Health Care

KKP GHC-A เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Health Care หลากหลายประเภท โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ นวัตกรรมทางการแพทย์ เช่น Pharmaceuticals, Biotechnology และ Medical Devices โดยที่ผ่านมากองทุนปรับตัวขึ้นได้ดี แต่ระดับ Valuation ยังไม่สูงเกินไป อยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี


อ้างอิง: Companies Market Cap, Roche, Macrotrends Novartis, Amgen, Gilead, Novo Nordisk, GlobeNewswire, Seeking Alpha, Johnson & Johnson, AbbVie, AstraZeneca, Merck Group

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Tax Cal