สร้าง Passive income ด้วยเทคนิคเลือกหุ้นปันผล

เป็นเสือนอนกินด้วย Passive income หรือก็คือ การสร้างรายได้ที่ไม่ต้องใช้เวลาทำงานเพื่อแลกเงิน แต่สามารถได้รับผลตอบแทนจากการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน อย่างเช่น การลงทุนใน “หุ้นปันผล” ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมเช่นกัน

แต่การจะเลือกหุ้นปันผลสักตัวไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญหลายอย่าง ทั้งบริษัทมีฐานะการเงินอย่างไร? กระแสเงินสดดีแค่ไหน? มีสภาพคล่องมากไหม? และปันผลสม่ำเสมอรึเปล่า? วันนี้ Finspace มีเทคนิคการเลือกหุ้นปันผลมาฝากกันครับ

1. เป็นธุรกิจที่ดีมีการเติบโต

หัวใจสำคัญของหุ้นปันผล คือ ต้องเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดี ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของกิจการ เราต้องพิจารณา “ความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ” โดยเลือกหุ้นที่มีจุดแข็งในการแข่งขันกับคู่แข่ง ยิ่งเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งขันน้อยรายหรือหน้าใหม่เข้ามาในธุรกิจได้ยาก ก็ยิ่งดี รวมไปถึงพิจารณา “อนาคตการเติบโตของกิจการ” โดยเลือกธุรกิจที่มีแนวโน้มไปต่อได้และยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว

2. มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง

โครงสร้างหนี้เหมาะสม

การที่บริษัทจะจ่ายปันผลได้ต้องมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถดูได้จากโครงสร้างหนี้ว่ามี “หนี้สินต่อทุน” (D/E Ratio) มากเกินไปหรือไม่ และหนี้สินที่มีอยู่เป็นหนี้ระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะหากมีหนี้ระยะสั้นจำนวนมาก บริษัทอาจต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อจ่ายหนี้ในเวลาอันใกล้ อาจทำให้ความพร้อมที่จะปันผลน้อยลง

กำไรสะสมเป็นบวก

นอกจากดูโครงสร้างหนี้แล้ว เรายังสามารถดูจาก “กำไรสะสม” โดยปกติบริษัทจดทะเบียนจะนำกำไรส่วนที่เหลือจากการปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมาเก็บเป็นกำไรสะสม หากบริษัทไหนยังขาดทุนสะสมอยู่ แม้จะมีกำไรสุทธิระหว่างงวด แต่บริษัทอาจพิจารณานำกำไรเหล่านั้นไปชดเชยในส่วนที่ยังขาดทุนสะสมอยู่ ทำให้ผู้ถือหุ้นอาจไม่ได้รับเงินปันผลก็ได้

3. มีสภาพคล่องในการซื้อขาย

เพราะต่อให้เป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี แต่ถ้ามีสภาพคล่องน้อย การซื้อขายแต่ละครั้งอาจทำได้ยากและต้องใช้เวลานาน ดังนั้น ควรเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่พอสมควร เช่น หุ้นในกลุ่ม SET50 หรือหุ้นในกลุ่ม SET High Dividend 30 Index

4. จ่ายปันผลสม่ำเสมอ

ควรประเมินแนวโน้มการเติบโตในอนาคต เพื่อประเมินว่าบริษัทจะสามารถจ่ายปันผลได้หรือไม่ และยังต้องพิจารณาอีกว่าเงินปันผลที่นำมาจ่ายนั้นมาจากการดำเนินงานไม่ใช่ “กำไรพิเศษ” ที่อาจเกิดขึ้นครั้งเดียว ซึ่งอาจส่งผลต่อความสม่ำเสมอของการจ่ายปันผลได้ และนึกอยู่เสมอว่าการจ่ายปันผลในอดีตไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดได้ทั้งหมด

โดยทั่วไปเราจะดูจาก “อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน” (Dividend Yield) ซึ่งอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะอยู่ที่ประมาณ 3% ดังนั้น หุ้นปันผลที่ควรลงทุน อาจต้องให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยและเมื่อรวมกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น 1-2% ต่อปี เท่ากับว่า อัตราเงินปันผลตอบแทนที่เราควรได้จากหุ้นปันผลควรมากกว่า 4-5% ต่อปี

เมื่อได้หุ้นปันผลที่ดีแล้ว การเข้าลงทุนในจังหวะในที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งสำคัญ หากเราเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นปรับลง และเน้นการลงทุนระยะยาว จะทำให้ต้นทุนราคาหุ้นของเราอยู่ในระดับต่ำและมีโอกาสได้รับเงินปันผลสูง และอย่าลืมประเมินสถานการณ์อื่น ๆ ที่อาจส่งกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทด้วย เพราะอาจมีผลต่อการจ่ายปันผลโดยตรง

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/passive-income-dividend-stock/

iran-israel-war