เรื่องราวเกี่ยวกับมหาเศรษฐีถือเป็นสิ่งที่คนให้ความสนใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นมา การก่อร่างสร้างตัว การใช้ชีวิต ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ แต่ประเด็นที่น่าจะเป็นที่จับตามากที่สุดน่าจะเป็น ‘อันดับมหาเศรษฐี’ ว่าในแต่ละปี ใครคือคนที่รวยที่สุดบนโลกใบนี้ 

โดย Bloomberg Billionaires Index ดัชนีชี้วัดความมั่งคั่งของ 500 มหาเศรษฐีโลก ที่สามารถบ่งบอกความร่ำรวยของแต่ละคนแบบวันต่อวัน ก็เป็นเครื่องมือน่าสนใจซึ่งจะช่วยให้เราติดตามร่องรอยและจัดอันดับบุคคลชั้นนำได้เป็นอย่างดี โดยวันนี้เราจะลองมาดูกันว่า ใครจะติดท็อปคนรวยที่สุดในโลกบ้าง

และในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มหาเศรษฐี 10 คนแรกของโลก ได้แก่ …

  1. Elon Musk มีสินทรัพย์ 2.31 แสนล้านเหรียญ
  2. Bernard Arnault มีสินทรัพย์ 1.97 แสนล้านเหรียญ
  3. Jeff Bezos มีสินทรัพย์ 1.52 แสนล้านเหรียญ
  4. Bill Gates มีสินทรัพย์ 1.32 แสนล้านเหรียญ
  5. Larry Ellison มีสินทรัพย์ 1.31 แสนล้านเหรียญ
  6. Steve Ballmer มีสินทรัพย์ 1.16 แสนล้านเหรียญ
  7. Warren Buffett มีสินทรัพย์ 2.31 แสนล้านเหรียญ
  8. Larry Page มีสินทรัพย์ 1.09 แสนล้านเหรียญ
  9. Sergey Brin มีสินทรัพย์ 1.03 แสนล้านเหรียญ
  10. Mark Zuckerberg มีสินทรัพย์ 1.03 แสนล้านเหรียญ

ที่น่าสนใจคือ ที่มาของความมั่งคั่งของบุคคลเหล่านี้ มาจากหุ้นของบริษัทชั้นนำของโลกที่ตัวเองมีส่วนร่วม หรือเคยมีส่วนในอดีต ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ยกตัวอย่างเช่น Elon Musk ที่มีความมั่งคั่งส่วนหนึ่งมาจากหุ้น Tesla ที่ตนถืออยู่ เป็นต้น 

ลองมาดูกันว่า มหาเศรษฐีแต่ละคนในอันดับเหล่านี้ มีส่วนในหุ้นตัวไหนบ้าง

10 มหาเศรษฐี x 8 หุ้นชั้นนำ

รวยอันดับ 1: Elon Musk เป็น CEO ของ Tesla

Tesla เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้การนำของ Elon Musk สามารถส่งมอบรถได้เกือบ 9 แสนคันเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่จะเป็นรถในรุ่น Model 3 และ Model Y เป็นหลัก

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ ยานยนต์
  • ก่อตั้ง 2003
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ
  • มูลค่าตลาด 816 พันล้านเหรียญ

รวยอันดับ 2 : Bernard Arnault เป็น CEO และผู้ก่อตั้ง LVMH

LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton หรือ LVMH เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าลักชัวรี ปัจจุบัน LVMH มีแบรนด์หรูต่าง ๆ อยู่ในมือมากกว่า 75 แบรนด์ เช่น Christian Dior, Fendi, Celine และ Bulgari ภายใต้ 6 กลุ่มธุรกิจ คือ แฟชั่นและเครื่องหนัง, ไวน์และสุรา, น้ำหอมและเครื่องสำอาง, นาฬิกาและเครื่องประดับ, การจัดจำหน่ายสินค้า และธุรกิจอื่น ๆ

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ ฝรั่งเศส 
  • ธุรกิจ สินค้าหรู 
  • ก่อตั้ง 1987 
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น Euronext Paris 
  • มูลค่าตลาด 465 พันล้านเหรียญ

รวยอันดับ 3 : Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon

Amazon มีธุรกิจที่เราคุ้นเคยกันดีคือแพลตฟอร์ม Amazon.com และเครื่องอ่านอีบุ๊ค Kindle แต่ก็ยังมีธุรกิจอื่น ๆ เช่น ธุรกิจคลังสินค้า, ธุรกิจขนส่ง, ธุรกิจค้าปลีกทั้งออฟไลน์ (ผ่านหน้าร้านของตัวเอง) และออนไลน์, สตรีมมิง Amazon Prime ไปจนถึง Amazon Web Service (AWS)

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ
  • ก่อตั้ง 1994
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ
  • มูลค่าตลาด 1,312 พันล้านเหรียญ

รวยอันดับ 4 และ 6 : Bill Gates (ผู้ก่อตั้ง Microsoft) และ  Steve Ballmer (อดีต CEO ของ Microsoft)

Microsoft ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอันดับ 2 ธุรกิจที่เราคุ้นเคยคือระบบปฏิบัติ Microsoft Windows ไปจนถึงซอฟต์แวร์ Microsoft Office 

แต่หากเจาะลึกมากขึ้น Microsoft ยังมีธุรกิจสาย Productivity & Business เช่น Office 365 และ Microsoft Teams สาย Cloud อย่าง Microsoft Azure และสาย More Personal Computing ซึ่งเกี่ยวกับลูกค้าทั่วไปมากขึ้น ทั้งฮาร์ดแวร์อย่างแล็ปท็อป Microsoft Surface และเครื่องเล่น Xbox ไปจนถึงเครื่องมือค้นหา Microsoft Bing, เบราว์เซอร์ Microsoft Edge และเกมในเครือ Xbox

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ เทคโนโลยี
  • ก่อตั้ง 1975
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ
  • มูลค่าตลาด 2,491 พันล้านเหรียญ

รวยอันดับ 5 : Larry Ellison เป็น CTO และผู้ก่อตั้ง Oracle

Oracle เป็นบริษัทที่เราน่าจะคุ้นชื่อกันน้อยที่สุด เพราะลูกค้าหลักคือลูกค้าระดับองค์กร โดยเป็นธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลและทรัพยากรองค์กร หรือ ERP (Enterprise Resource Planning) ซึ่งคอยเชื่อมโยงข้อมูลของหลายฝ่ายในองค์กร (เช่นข้อมูลระหว่างโรงงาน คลัง ฝ่ายขาย และบัญชี) ให้เป็นก้อนเดียวที่ร้อยกันบนฐานข้อมูลหรือแพลตฟอร์มเดียว

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล
  • ก่อตั้ง 1977
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NYSE
  • มูลค่าตลาด 320 พันล้านเหรียญ

 

รวยอันดับ 7 : Warren Buffett เป็น CEO ของ Berkshire Hathaway

Berkshire Hathaway เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น ๆ หลายประเภทของปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ โดยล่าสุดได้ถือหุ้นของ Apple เอาไว้ถึง 46.4% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ตามมาด้วย Bank of America 9.1%, American Express 7.7% และ Coca-Cola 7.6%

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ บริษัทโฮลดิ้ง
  • ก่อตั้ง 1839 (Buffett เข้าซื้อในปี 1965 ก่อนจะเลิกสิ่งทอและเปลี่ยนเป็นบริษัทลงทุนในเวลาต่อมา)
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NYSE
  • มูลค่าตลาด 737 พันล้านเหรียญ

รวยอันดับ 8 และ 9 : Larry Page และ Sergey Brin เป็นผู้ก่อตั้ง Google

Alphabet เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอันดับ 4 มีธุรกิจที่เราคุ้นเคยกันดีคือ Google บริการค้นหาข้อมูลที่เรามักจะเห็นเป็นหน้าแรกเวลาเข้าอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม Google ยังมีธุรกิจอื่นนอกจาก Search Engine เช่น โฆษณา, ระบบปฏิบัติการ Android, เบราว์เซอร์ Google Chrome, Google Maps, Youtube, ธุรกิจคลาวด์ ไปจนถึงฮาร์ดแวร์อย่างโทรศัพท์ในตระกูล Google Pixel 

นอกจากนี้ Google ยังมีหมวดธุรกิจที่เรียกเท่ ๆ ว่า Other Bets หรือการลงทุนเพื่อเดิมพันเพื่อยุคสมัยใหม่ เช่น Waymo เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ, Calico ธุรกิจสาย Biotech ไปจนถึง Google Ventures ธุรกิจเงินร่วมทุน หรือ Venture Capital

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ เสิร์ชเอนจิน
  • ก่อตั้ง 1998
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ
  • มูลค่าตลาด 1518 พันล้านเหรียญ

รวยอันดับ 10 : Mark Zuckerberg  เป็น CEO และผู้ก่อตั้ง Facebook

ธุรกิจหลักของ Meta Platform คือ Facebook ที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโฆษณา แต่ที่จริงแล้ว Meta แบ่งธุรกิจของตัวเองออกเป็น 2 ส่วน คือ Family of Apps และ Reality Labs โดยฝั่ง Family of Apps หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะประกอบด้วย Facebook, Instagram, Messenger, WhatsApp และอื่น ๆ โดยธุรกิจในฝั่งนี้จะเป็นรายได้หลัก ๆ ของ Meta ในขณะที่ Reality Labs จะเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่ลงทุนใน VR และ AR ทั้งในด้านแพลตฟอร์ม (Horizon Worlds) ฮาร์ดแวร์ และคอนเทนต์

ข้อมูลทั่วไป 

  • สัญชาติ อเมริกัน
  • ธุรกิจ ยานยนต์
  • ก่อตั้ง 2003
  • จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ
  • มูลค่าตลาด 816 พันล้านเหรียญ

โอกาสลงทุนในบริษัทชั้นนำของโลก ผ่านกองทุน MEGA10-A

บ่อยครั้งที่บริษัทระดับโลกมาพร้อมกับ “แบรนด์” ที่ยากจะทำลายลง ถามว่าทำไมแฟน ๆ Apple ถึงต้องเบียดคิวกันซื้อ iPhone ทุกครั้งที่ออกรุ่นใหม่ในราคาเปิดตัวที่สูงขึ้น ถามว่าทำไม Tesla ถึงเป็นชื่อแรกที่คนนึกถึง (และอยากครอบครอง) เมื่อนึกถึงรถยนต์ไฟฟ้า คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่คำว่าแบรนด์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ในเวลาชั่วพริบตา แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมมานับแต่การก่อร่างสร้างตัว ที่สำคัญคือแบรนด์เปรียบได้กับปราการอันยิ่งใหญ่ที่ป้องกันไม่ให้คู่แข่งย่องเข้ามาในปราสาทและหยิบฉวยส่วนแบ่งการตลาดออกไปได้ง่าย ๆ ถ้าถามว่าลงทุนในบริษัทใหญ่มีความได้เปรียบยังไง คำตอบน่าจะเป็นเรื่องนี้

สำหรับใครที่สนใจลงทุนไปกับสุดยอดบริษัทยักษ์ใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยปราการสุดแกร่ง สามารถลงทุนได้ผ่านกองทุน MEGA10-A* กองทุนรวมที่ลงทุนในสุดยอดหุ้นอเมริกาที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE / NASDAQ  โดยจะคัดเลือกหุ้นที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและมี market cap หรือความใหญ่ของหุ้นเป็นอันดับต้น ๆ และที่มีสภาพคล่องสูงสุด 10 บริษัทแรก

*ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุน MEGA10-A มิได้ลงทุนใน 10 บริษัทข้างต้นนี้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทใดใน NYSE / NASDAQ จะเข้าเงื่อนไขตรงกับนโยบายของกองทุน

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/ 

อ้างอิง

 

หมายเหตุ: อ้างอิงมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2023

คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุน ขาดทุนหรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”