
ทุกครั้งที่อิหร่านขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ราคาน้ำมันโลกจะพุ่งสูงขึ้น แต่กลับกันน้ำมันของอิหร่านเองก็ต้องขนส่งผ่านช่องแคบนี้เช่นกัน การปิดฮอร์มุซจึงไม่เพียงตัดรายได้หลักของอิหร่าน แต่ยังเสี่ยงทำลายความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญอย่างจีน
ในโลกที่อิหร่านพึ่งการค้าพลังงานเพื่ออยู่รอด การปิดช่องแคบฮอร์มุซจึงไม่ใช่การตอบโต้ แต่อาจจะหมายถึงการฆ่าตัวตาย
ท่ามกลางปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ที่ปะทุขึ้นอีกครั้งจากเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ และอิสราเอลร่วมกันโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์ในอิหร่าน ความกังวลของโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์หรือเสถียรภาพในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังขยายตัวไปสู่ปัญหาที่กระทบกับคนทั้งโลก นั่นคือราคาน้ำมันและความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึงชื่อ “ช่องแคบฮอร์มุซ”
อิหร่านไม่เคยปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ได้จริง
ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งทอดตัวยาวเพียง 55 กิโลเมตรและเป็นจุดแคบที่สุดของเส้นทางทะเลระหว่างอิหร่านและโอมาน ถือเป็นทางผ่านของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนถึงหนึ่งในห้าของความต้องการพลังงานทั่วโลกต่อวัน ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์นี้ทำให้ช่องแคบแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดอ่อนที่อ่อนไหวอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจ
แม้อิหร่านจะขู่หลายครั้งในอดีตว่าจะปิดช่องแคบนี้เพื่อตอบโต้การคว่ำบาตรหรือการแทรกแซงของตะวันตก แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ช่องแคบฮอร์มุซยังไม่เคยถูกปิดอย่างสมบูรณ์แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ใช่เพราะอิหร่านทำไม่ได้ แต่การปิดช่องแคบย่อมส่งผลอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของอิหร่านเองเช่นกัน
ตั้งสติ อย่าตกใจเกินไป
Ron Bousso นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจาก Reuters ชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ช่องแคบฮอร์มุซจะเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก และอิหร่านจะมีศักยภาพในการขัดขวางเส้นทางนี้ในหลายรูปแบบ แต่ในความเป็นจริง เหตุการณ์ที่หลายคนกลัวว่าจะรุนแรง มักเกิดขึ้นแค่ช่วงสั้น ๆ และควบคุมได้
ย้อนดูตัวอย่างในอดีต เช่น ช่วงสงครามอ่าวปี 1991 ที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า แต่กลับมาสงบลงในเวลาไม่กี่เดือน หรือในปี 2022 เมื่อรัสเซียรุกรานยูเครน ราคาน้ำมันพุ่งไปถึง $130 ต่อบาร์เรล แต่ก็ลดลงมาอยู่แถว $95 ภายในกลางปีเดียวกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ตลาดน้ำมันมีความยืดหยุ่นและสามารถฟื้นตัวจากแรงกระแทกได้เร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด
ทางเลือกของอิหร่านมีอะไรบ้าง?
ผู้คนจำนวนมากมองว่าอิหร่านสามารถ “ทำอะไรก็ได้” กับช่องแคบฮอร์มุซ แต่การเลือกใช้มาตรการรุนแรง เช่น การปิดช่องแคบฮอร์มุซโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะยั่วยุให้เกิดการตอบโต้จากสหรัฐฯ และกองทัพเรือพันธมิตรเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของอิหร่านเองอย่างมหาศาล โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ที่อาจไม่พอใจหากความมั่นคงทางพลังงานของตนเองถูกระทบ
นักวิเคราะห์จากตะวันตกจึงเชื่อว่า อิหร่านจะเลือกใช้ทางเลือกอื่นในการตอบโต้การโจมตีของสหรัฐฯ และพันธมิตร โดยเฉพาะการใช้ยุทธวิธีก่อกวนทางทะเล เช่น การรบกวนสัญญาณ GPS ที่มีเรือได้รับผลกระทบกว่า 1,000 ลำต่อวัน หรือการใช้โดรนและระเบิดโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันในลักษณะที่คล้ายกับกลุ่มฮูตีในทะเลแดง แต่มาตรการเหล่านี้ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และยังไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อการไหลเวียนของน้ำมันโลกอย่างแท้จริง
ทางเลือกของโลกมีอะไรบ้าง?
ขณะเดียวกัน โลกของเรายังมีแผนสำรอง แม้ช่องแคบฮอร์มุซจะเป็นเส้นทางหลักในการส่งออกน้ำมันของหลายประเทศในตะวันออกกลาง แต่ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้เตรียมทางเลือกไว้ล่วงหน้า เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ต้องพึ่งพาฮอร์มุซเพียงอย่างเดียว
ซาอุฯ มีท่อ Abqaiq–Yanbu ที่เชื่อมจากฝั่งอ่าวเปอร์เซียไปยังทะเลแดง สามารถส่งน้ำมันได้สูงสุดถึง 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วน UAE ใช้ท่อส่งน้ำมันไปยังเมืองฟูไจราห์ซึ่งอยู่นอกช่องแคบ รองรับได้ราว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศผู้บริโภคพลังงานหลักอย่างสมาชิก IEA มีน้ำมันสำรองรวมกันกว่า 5.8 พันล้านบาร์เรล ซึ่งมากพอรองรับการหยุดชะงักชั่วคราว และช่วยให้ตลาดโลกยังคงมีเสถียรภาพ แม้จะเกิดความตึงเครียดในภูมิภาคก็ตาม
กลับสู่โลกความเป็นจริง
ในที่สุดแล้ว ความกังวลเกี่ยวกับการปิดช่องแคบฮอร์มุซจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่ประเด็นที่ควรกังวลเกินไป หลายครั้งในอดีตสถานการณ์ในภูมิภาคมักถูกเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการส่งออกน้ำมัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมักเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวที่ตลาดสามารถรับมือได้
แม้อิหร่านจะยังมีความเป็นไปได้ในการตอบโต้ในหลายรูปแบบ แต่เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์กับพันธมิตร และโครงสร้างของตลาดโลกในปัจจุบัน ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ตลาดพลังงานโลกในปี 2025 ไม่ได้กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตอย่างที่หลายฝ่ายกังวล