ยอดหุ้นอเมริกา

สุดยอดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงที่สุดในอเมริกา!

ท่านผู้อ่านได้อ่านหัวข้อวันนี้แล้วก็อาจจะนึกอยู่ในหัวใช่ไหมล่ะครับว่า สุดยอดหุ้นที่น่าจะให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในอเมริกานี่มันจะให้ผลตอบแทนที่สูงกันขนาดไหนเชียว

ผมว่าท่านลองมาดูกราฟผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นตัวนี้ก่อนดีกว่าครับ ซึ่งหากท่านลงทุนในหุ้นดังกล่าวตั้งแต่ปี 1968 ด้วยเงินลงทุน $1 เมื่อระยะเวลาผ่านมาถึงช่วงต้นปี 2015 เงินเพียงแค่ $1 ในวันนั้นจะงอกเงยจากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้นรวมเงินปันผลที่ได้เป็นเงินที่มากถึง $6,638 กันเลยทีเดียว นั่นแปลว่าระยะเวลาที่ผ่านไปประมาณ 46 ปี เงินก้อนนี้จะเพิ่มขึ้นกลายเป็น 663,800% หรือให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นที่มากถึง 20.6% ต่อปี ในเวลาเกือบกว่าครึ่งศตวรรษ!! ซึ่งนี่เป็นผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นที่หาคู่แข่งเทียบได้ยากมากจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วท่านผู้อ่านคงคิดว่าหุ้นดังกล่าวน่าจะต้องเป็นเหล่าหุ้นเทพๆ หุ้น Mega trend ต่างๆ หรือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี อินเตอร์เนต หรือไบโอเทค เป็นแน่แท้เลยใช่ไหมล่ะครับ.. แต่นั่นไม่ใช่คำตอบครับ หุ้นดังกล่าวกลับกลายเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แสนจะธรรมดาสามัญ ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรพิเศษเลยอย่างกลุ่มธุรกิจ “ยาสูบ” ซึ่งเป็นบริษัท Altria (MO:US) หรือ Philip Morris อันโด่งดังนั่นเอง ซึ่งมีธุรกิจหลักคือขายบุหรี่ โดยมียี่ห้อดังอย่าง Marlboro เรียกได้ว่านี่คือสุดยอดหุ้นยาสูบระดับโลกเลยทีเดียว

150219113131-altria-stock-780x439

ภาพแสดงจำนวนเงินลงทุนในหุ้น Altria เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้น S&P500 ตั้งแต่ปี 1968 ถึงช่วงปี 2015
ที่มา: http://money.cnn.com/2015/02/19/investing/americas-best-stock-ever/

Long-run performance of US industriesภาพแสดงผลตอบแทนระยะยาวของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมในอเมริกา
ที่มา: Credit Suisse Global Investment Returns Yearbook 2015

ผลตอบแทนของหุ้นดังกล่าวยังสอดคล้องกับผลตอบแทนระยะยาวของกลุ่มอุตสาหกรรมในอเมริกาซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบกลับกลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในอเมริกานับตั้งแต่ปี 1990 ถึง 2010 โดยหากเริ่มลงทุนด้วยเงิน $1 ในปี 1900 เงินลงทุนดังกล่าวจะเติบโตกลายเป็นเงินประมาณ $6.3 ล้าน ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในอเมริกาที่เงินจะเติบโตเป็นเงินประมาณ $38,255 หรือสูงเป็น 165 เท่าของค่าเฉลี่ย

แล้วทำไมหุ้นในกลุ่มยาสูบถึงกลับกลายเป็นสุดยอดการลงทุนที่แสนมหัศจรรย์นี้ไปได้?

จริงอยู่ครับที่ว่าหุ้นในกลุ่มยาสูบเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าที่คนเสพย์ติด แต่หากเรามาดูข้อมูลเชิงพื้นฐานในด้านของการบริโภคบุหรี่แล้วจะเห็นได้ชัดเจนครับว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มสูบบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่อัตราการบริโภคทำจุดสูงสุดในปี 1981 ด้วยตัวเลขการบริโภคบุหรี่มากถึงปีละ 640,000 ล้านมวนต่อปี และลดลงมาเหลือประมาณ 360,000 ล้านมวนในปี 2007 หรือลดลงต่อเนื่องกว่า 44% ในระยะเวลา 26 ปี ประกอบกับธุรกิจยาสูบมักจะเป็นธุรกิจที่มักจะโดนข้อจำกัดทางกฎหมายเยอะ ทั้งการโฆษณาต่างๆ การจำกัดอายุของผู้บริโภค หรือโดนเก็บภาษีเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด

ft150217-fig2ภาพแสดงข้อมูลการบริโภคบุหรี่ของคนอเมริกา
ที่มา: http://www.fool.com/investing/general/2015/02/13/the-extraordinary-story-of-americas-most-successfu.aspx

แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้ Altria กลับกลายเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมหาศาลขนาดนี้ได้ก็คือ

  • ความกลัวและความรังเกียจในการลงทุนหุ้นกลุ่มยาสูบ

สิ่งเหล่านี้ทำให้กลุ่มนักลงทุนหลายท่านหลีกเลี่ยงการลงุทนในหุ้นยาสูบ ซึ่งหลายท่านมองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยจะถูกศีลธรรมมากนัก ทำให้ valuation ของหุ้นกลุ่มนี้ถูกกดให้ถูกกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ซึ่งนั่นหมายถึงการที่นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่สูงจากเงินปันผล ยิ่งถ้าบริษัทรักษากำไรได้สม่ำเสมอ นักลงทุนจึงได้รับปันผลที่ค่อนข้างจะดีมาก

  • ความยั่งยืนจากการที่ธุรกิจยาสูบไม่ต้องคิดค้นนวัตกรรมหรือพัฒนาอะไรใหม่ๆ

เป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าคุณสมบัติหุ้น VI พันธุ์แท้ฉบับวอเร็น บัฟเฟต กันเลยทีเดียว หุ้นยาสูบนั้นเป็นหุ้นที่เรียกได้ว่าไม่ได้มีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆมากมายมาแข่งขัน บริษัทเรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องพัฒนาอะไรเลยต่างจากบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือเอง ใครจะคิดล่ะครับว่า Nokia หรือ Blackberry ที่เคยเป็นผู้นำแห่งมือถือจะล้มหายตายจากไปจากตลาดได้ แต่ในมุมของ Altria แบรนด์ชั้นนำที่บริษัทมีประกอบกับการที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์มาก กลับทำให้ธุรกิจสามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว หลาย่านอาจจะสงสัยว่าหุ้นดีขนาดนี้ทำไมบัฟเฟตต์กลับไม่ซื้อ สาเหตุหลักนั้นเนื่องจากเขามองว่าจะทำให้ชื่อเสียงเขาได้รับความเสียหายได้เช่นกันครับ

และด้วยเหตุผลนี้เองก็เป็นข้อเตือนใจให้เราได้คิดอีกแล้วครับว่า ธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว มักกลับกลายเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีการพัฒนาอะไรใหม่ๆมากมาย หรือลงทุนเพิ่มเติมสูง หากแต่กลายเป็นธุรกิจที่เรียบง่ายและสามารถสร้างรายได้และกำไรได้สม่ำเสมอนั่นเอง