
มุมมองการลงทุน
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรงหลังประธานาธิบดีสหรัฐประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ในขณะที่จีนมีมาตรการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ถึงแม้สหรัฐประกาศยกเว้นภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน ให้กับทุกประเทศที่ไม่มีมาตรการตอบโต้สหรัฐเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจา แต่อัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% และภาษีอื่นๆที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ยังคงมีผลบังคับใช้ และนักลงทุนยังคงกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก อีกทั้งมีความสำคัญต่อการค้าโลกทั้งในแง่ของผู้บริโภคและผู้ผลิต
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีสัญญาณคลี่คลายลงบ้าง หลังมาตรการภาษีเริ่มส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ โดยผู้บริโภคของสหรัฐเริ่มชะลอการใช้จ่ายเนื่องจากราคาสินค้ามีราคาแพงขึ้น และผู้บริโภคมีมุมมองที่แย่ลงต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต โดยมีการประเมินว่าสหรัฐจะประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าในเร็วๆนี้ เพราะสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ในสหรัฐผลิตจากจีน นอกจากนี้ นักลงทุนเทขายพันธบัตรและดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประเมินว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น ทางด้านจีน ถึงแม้รัฐบาลมีการเตรียมมาตรการไว้ในหลายๆด้าน เช่น การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ การหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ ฯลฯ แต่สินค้าบางประเภทยังคงจำเป็นต้องนำเข้าจากสหรัฐ ดังนั้น ทั้งจีนและสหรัฐจึงมีการผ่อนปรนมาตรการนำเข้าสินค้าบางรายการ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
สำหรับตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก และค่อยๆฟื้นตัวตามตลาดหุ้นทั่วโลกหลังประธานาธิบดีสหรัฐส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการภาษี และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีความตึงเครียดน้อยลง ทางด้าน ตลาดตราสารหนี้ไทยได้ประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่าตลาดตราสารหนี้สหรัฐมีความเสี่ยงมากขึ้น ในขณะที่ประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ การปรับลดมุมมองเครดิตไทยของมูดี้ส์จากระดับ “มีเสถียรภาพ” ลงสู่ “เชิงลบ” อาจส่งผลกระทบในระยะสั้น
บลจ. กรุงศรี ประเมินว่ามาตรการภาษีของสหรัฐน่าจะผ่านจุดที่ส่งผลกระทบสูงสุดไปแล้ว แต่การเจรจาการค้ากับจีนน่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ในขณะที่ผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจจะเริ่มเห็นผลในรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายน ดังนั้น คาดว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะทยอยฟื้นตัว โดยได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากผลประกอบการในไตรมาส 1/68 ที่กำลังทยอยประกาศออกมา รวมถึงการให้แนวโน้มต่อผลประกอบการในอนาคต และการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรก็ดี เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง จึงเห็นควรให้คงการลงทุนในตราสารหนี้ในระดับสูงกว่าปกติ
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299