มีเงิน 6,000 บาท ก็เป็นเจ้าของเซเว่นได้

รายได้ต่อสาขาของเซเว่นคือ 78,706 บาทต่อวัน และรายได้ต่อบิลเฉลี่ยคือ 65 บาท เฉลี่ยแล้วแต่ละสาขามีคนเข้าเซเว่น 1,216 คนต่อวัน

ปัจจุบันเซเว่นมี 9,542 สาขา แบ่งเป็นสาขาใน กทม. 44% และ ต่างจังหวัด 56% ถ้าย้อนกลับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เซเว่นยังมีแค่ 6,822 สาขา นั่นหมายถึงเซเว่นอาจจะยังไม่ได้อิ่มตัว ยังขยายสาขาอยู่เรื่อยๆ และปีนี้จะเป็นปีแรกที่เซเว่นมีครบ 10,000 สาขา

เซเว่นมีอัตรากำไรคิดเป็นแค่ 5% ของยอดขาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่โชห่วยอยู่ไม่ได้เพราะเซเว่นมีกำไรที่บางมาก แต่อาศัยการขายปริมาณมากจากหลายๆสาขา อย่างไรก็ตาม CPALL บอกกับโชห่วยว่าไม่เป็นไร บริษัทเรายังมีห้าง Makro ไว้ขายสินค้าราคาถูกส่งให้ร้านโชห่วยเหมือนกัน สรุปบริษัทกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ด้วยเงิน 6,000 บาท เราจะซื้อหุ้นเซเว่น หรือ CPALL ที่ราคา 60 บาท ได้ 100 หุ้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อที่คนไทยทุกคนก็คงเคยซื้อของที่ร้านนี้

ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 8,983.1 ล้านหุ้น ถ้าเราซื้อหุ้น 100 หุ้นก็เหมือนเราได้ร่วมเป็นเจ้าของสัดส่วน 1 ใน 89 ล้านส่วน อาจจะดูเหมือนน้อย แต่ถ้าเราคิดว่าคนไทย 67 ล้านคนเคยซื้อของที่เซเว่นทุกคน และแต่ละคนซื้อสินค้าของเซเว่นเป็นเงิน 100 บาท เราจะได้ส่วนแบ่งถึง 75 บาท (67ล้าน x 100 / 89ล้าน)

แต่รู้หรือไม่ว่า ดร.นิเวศน์ นักลงทุนชื่อดังที่เริ่มต้นจากไม่มีทรัพย์สินอะไร เก็บเงินสะสมจากการทำงานประจำ ปัจจุบันเขาถือหุ้น CPALL อยู่ 45 ล้านหุ้น ถ้าคนไทยทุกคนซื้อสินค้าที่เซเว่นคนละ 100 บาท ดร. นิเวศน์ จะได้ส่วนแบ่งถึง 34 ล้านบาท

ปี 2016 CPALL มีรายได้ทั้งหมด 450,000 ล้านบาท แปลว่ารายได้ตามสัดส่วนของ ดร.นิเวศน์ มีมากถึง 2,250 ล้านบาทต่อปี!

ที่น่าสนใจคือทั้งตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดกว่า 600 บริษัท แต่ครึ่งนึงของบริษัทในตลาดมีรายได้น้อยกว่า รายได้ของ ดร.นิเวศน์ ที่ถือผ่าน CPALL

เรื่องนี้ทำให้เห็นได้ว่าการถือหุ้นเพียงบางส่วนของบริษัทใหญ่ๆ อาจจะมีมูลค่ามากกว่า การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเล็กๆ และที่สำคัญคือ ดร.นิเวศน์ไม่ต้องบริหารงานอะไรเลย รอรับเงินปันผลในแต่ละปีไปเรื่อยๆ และถ้ากิจการเซเว่นขยายสาขาได้มากขึ้น ก็หมายความว่าเงินปันผลในปีถัดไปจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

ปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ถ้าคำนวณแล้วปีนี้ ดร.นิเวศน์ จะได้รับปันผล 45 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม.. ที่กล่าวมาทั้งหมด ดร. นิเวศน์อาจจะต้องขออนุญาตบุคคลหนึ่งก่อนใช้เงินปันผลนี้ นั่นเพราะท่านใช้ชื่อภรรยาของท่านถือหุ้น CPALL

ปล. บทความนี้ผู้เขียนต้องการแสดงมุมมองการลงทุนแบบใหม่ ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหุ้นนี้แต่อย่างใด ผู้อ่านต้องพิจารณาธุรกิจ ราคาเหมาะสมของหุ้นด้วยตนเอง

ที่มาบทความ : http://longtunman.com/417