โพล Bearish ล่าสุด... จากเซียนลงทุนสหรัฐ

สัปดาห์นี้ ข่าวดีจากการชะลอ Tariff War ระหว่างจีนกับสหรัฐ ออกไป 90 วัน น่าจะทำให้ Sentiment ของตลาดหุ้นโลกโดยรวมดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ดี ผลโพลจากผู้จัดการด้านการลงทุนสหรัฐในเดือนเมษายน 2025 ที่จัดทำโดยสำนักข่าวดาวน์โจนส์ ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้จัดการด้านการลงทุน 119 ราย ปรากฎว่า โทนออกมาแบบ Bearish ที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 32% จากทั้งหมด มีความเห็นในเชิงลบหรือ Bearish ต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 12 เดือนถัดไป ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997

หากพิจารณาถึง วิกฤตต่าง ๆ ที่เราได้เผชิญผ่านมานับจากวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้ง เหตุการณ์ 9/11 วิกฤตซับไพร์ม และวิกฤตโควิด จะเห็นได้ว่าผู้คนในวงการการลงทุนดูจะกังวลต่อวิกฤต Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่า

ในทางกลับกัน สัดส่วนของผู้ที่มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะสดใส หรือ Bullish ก็ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบเกือบ 30 ปีเช่นเดียวกัน อยู่ที่เพียง 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งสวนทางกับช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อน ที่ผลออกมา 50% Bullish และมีเพียง 18% Bearish โดยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากผลกระทบของมาตรการ Tariff ของทรัมป์ที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนและต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าโทนในช่วงหลังของทรัมป์จะดูไม่ดุดันอย่างในช่วงต้น ๆ ก็ตาม

โดยผลโพลด้าน Valuation ของตลาด ท่ามกลางการรีบาวนด์ของตลาดหุ้นสหรัฐหลังจากลงไปเกือบ 20% ในช่วงวัน Liberation Day ของทรัมป์ ปรากฎว่า 58% ของโพลมองว่าตลาดยัง overvalued ในขณะที่ 38% มองว่าอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม โดยมีเพียง 4% ที่มองว่ายัง undervalued

สำหรับด้านเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปีนี้ ปรากฎว่ากลุ่ม Bullish มองดัชนีจะสูงขึ้น 4-7% จากระดับปัจจุบัน ส่วนกลุ่ม Bearish มองจะลดลง 7% สำหรับดัชนีดาวน์โจนส์ และลดลงราว 11-12% สำหรับดัชนี S&P500 ในขณะที่ 42% ของทั้งหมดมองว่าจะอยู่ในระดับปัจจุบัน

หันมาพิจารณาความนิยมต่อมาตรการ Tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์กันบ้าง ปรากฎว่า 80% ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ 20% เห็นด้วย ด้านโอกาสการเกิด Recession นั้น ปรากฎว่าราว 80% ของทั้งหมดมองว่ามีโอกาสเกิด Recession อยู่ 40% หรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ดี ราว 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มองว่าการลดลงของตลาดถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนควรเข้าซื้อ

เมื่อพิจารณานโยบายต่าง ๆ โดยรวม ปรากฎว่าหลายท่านมองว่าทรัมป์ไม่ได้โฟกัสนโยบายที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในช่วงต้น ๆ โดย 38% ของทั้งหมด ต้องการให้ Deregulation เป็นนโยบายอันดับหนึ่งที่ทรัมป์ควรให้ความสำคัญ

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ความคาดหวังเชิงบวกต่อทรัมป์ขึ้นสูงสุดหลังจากตอนที่ชนะการเลือกตั้งใหญ่ ๆ หมาด ๆ จากนั้น ความคาดหวังดังกล่าวก็ค่อยๆลดลงมาเป็นลำดับ โดยเน้นนโยบาย Tariff มากจนเกินไป

สำหรับในมุมความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 6 เดือนถัดจากนี้ ปรากฎว่า 24% เห็นว่าคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ, 19% ชี้ไปที่ Recession และ 14% มองว่าเป็นความวุ่นวายทางการเมือง โดยผลสำรวจส่วนใหญ่ประเมินว่า Tariff จะทำให้เกิดการหยุดนิ่งของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงกลางปีนี้ แม้ว่าจะมีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงเพียงหนึ่งรายเท่านั้นที่มองในแง่ดีว่า Recession จะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากพลังของการบริโภคของชาวสหรัฐที่ถึงตรงนี้ก็ปรากฎว่าแรงยังไม่ตก

ด้วยเหตุนี้ ทองคำ จึงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมถึง 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดในครั้งนี้ โดยเชื่อว่าอุปสงค์ที่สูงขึ้นจากการเข้ามาซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางของโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือประเทศในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์ จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ รวมถึงราคาทองคำมักสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์

ด้านการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ปรากฎว่า ผลโพลในครั้งนี้ มีถึง 70% ที่มีความเห็นเชิง Bullish ต่อตลาดหุ้นนอกสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตลาดของประเทศพัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่ โดยมีหลายท่านชื่นชอบ iShares MSCI EAFE Value ETF และ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF โดยมองว่าค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนและค่าเงินยูโรที่แข็ง จะเป็นปัจจัยช่วยตลาดหุ้นนอกสหรัฐ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นจีนซึ่งมีบางท่านในผลโพลชื่นชอบ รวมถึงหุ้น Alibaba ที่ราคาขึ้นไปกว่า 40% ในปีนี้ แม้ว่าจะเทรดที่ค่า P/E เพียง 13 เท่าของกำไรสุทธิที่คาดการณ์ใน 12 เดือนข้างหน้า และหุ้นที่เน้นปันผลในกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มยารักษาโรค

ท้ายสุด กว่า 70% ของทั้งหมดในรอบนี้ ชื่นชอบการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ คาดว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ต่ำกว่า 4% ในอีก 1 ปีนับจากนี้

โดยสรุป ปี 2025 คาดว่าจะเป็นปีที่การลงทุนมีความผันผวนสูงมากๆ ซึ่งทุกคนต้องเตรียมตัวรับมือแบบระมัดระวังให้ดีกว่าทุกปี

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com