มุมใหม่ด้านสื่อสารของเฟด จากเบอร์นันเก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดร. เบน เบอร์นันเก อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐได้เสนอให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับปรุงกลยุทธ์ในการสื่อสารกับสาธารณชนแบบเป็นทางการ โดยได้ชี้ให้เห็นถึงจุดด้อยของกลยุทธ์การสื่อสารของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดไว้ 2 ประการ ได้แก่

หนึ่ง การประกาศคำตัดสินหลังประชุมนโยบายการเงินว่าเฟดจะขยับอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ไม่ค่อยมีคำอธิบายด้านเศรษฐศาสตร์ตามมามากเท่าที่ควรจะเป็น โดยส่วนใหญ่จะมากับบทสนทนาถามตอบกับผู้สื่อข่าวหลังการแถลงของประธานเฟด ใน Press Conference ในทางกลับกัน ธนาคารกลางหลักแห่งอื่น ๆ ของโลกมักจะมีเอกสารแนว Monetary Policy Report ออกมาหลังการประชุมเสร็จสิ้น โดยจะพูดถึงข้อมูลเบื้องหลังการตัดสินใจในการประชุม วิวัฒนาการของเศรษฐกิจและตลาดการเงินในช่วงนั้น และถกเถียงถึงกลยุทธ์ด้านนโยบายการเงินต่าง ๆ รวมถึงมองไปข้างหน้าว่าเศรษฐกิจน่าจะเป็นอย่างไรในช่วงถัดไป เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ว่าเบื้องหลังการประชุมในวันนั้นเป็นอย่างไร

สอง เฟด ต่างจากธนาคารกลางหลักแห่งอื่น ๆ ตรงที่ไม่มีชุดการคาดการณ์เศรษฐกิจในแบบฉากทัศน์หลักที่เกี่ยวเนื่องการตัดสินใจของการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเบอร์นันเกกล่าวว่าสาเหตุของการไม่มีของสิ่งสำคัญดังกล่าว เนื่องจากสาขาเฟดทั้ง 12 แห่งตั้งอยู่ห่างกันกระจายไปทั่วสหรัฐ ทำให้การประสานการประชุมหรือส่งถ่ายข้อมูลระหว่าง Staff และสมาชิกเฟดในสาขาต่าง ๆ ทำได้ยาก โดยในปี 2012 ได้เคยจะสร้างชุดการคาดการณ์เศรษฐกิจในแบบฉากทัศน์หลัก ทว่าไม่สามารถทำได้ในความเป็นจริง

นอกจากนี้ ปัญหาของ Summary of Economic Projection (SEOP) หรือ Dot Plot ซึ่งแสดงความคิดเห็นต่อตัวเลขเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายมองไปจากนี้จนถึง 2 ปีข้างหน้าของสมาชิกเฟด สำหรับทำการสื่อสารต่อสาธารณชน ได้แก่ 1. มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างค่าคาดการณ์กลางของ SEOP กับมติของคณะกรรมการเฟด 2. มีความเป็นไปได้ที่จะสรุปว่า Dot Plot เป็น Forward Guidance ของคณะกรรมการเฟดโดยรวม 3. การขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับสมมติฐานและแบบจำลองที่เกี่ยวกับสำหรับ Dot Plot ที่ออกมา และ 4. การให้ความสำคัญต่อค่าคาดการณ์กลางของ SEOP มากเกินไป โดยลืมคำนึงถึงความไม่แน่นอนของการคาดการณ์ และ ฉากทัศน์ทางเลือก

โดย 2 ปัญหาแรก ถือว่าเป็นการยากท่ีจะขจัดปัญหาทั้งหมดให้หมดไป ทว่าสามารถที่จะลดความรุนแรงของปัญหาได้ ทว่า 2 ปัญหาหลัง ถือว่าแก้ได้ค่อนข้างยาก

เบอร์นันเกจึงเสนอให้จัดทำบทวิจัย Economic Review ออกมาแจกต่อสาธารณชน ในวันแถลงการประชุมเฟด ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

Review นี้ จะสร้างชุดค่าคาดการณ์ของตัวแปรเศรษฐกิจมหภาคหลัก ๆ ณ ช่วงเวลาต่าง ๆ ในอนาคต รวมถึงในระยะยาว ทั้งในฉากทัศน์หลักและฉากทัศน์ทางเลือก นอกจากนี้ เฟดสามารถปรับให้เนื้อหาของ SEOP มีความสอดคล้องกับผลลัพธ์ของ Review นี้ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ เบอร์นันเกเสนอให้ Staff ของเฟดเป็นผู้จัดทำ โดยให้มีการประชุมร่วมกับ Staff และผู้ว่าการเฟดสาขาต่าง ๆ ระหว่างการจัดทำ รวมถึงต้องการให้สมาชิกเฟดอ้างอิงบทสรุปของภาพเศรษฐกิจในฉากทัศน์หลักเป็นตุ๊กตาเริ่มต้น เพื่อที่จะต่อยอดในการวิเคราะห์ภายใต้บริบทต่าง ๆ ในจังหวะถัดไป สำหรับการพูดคุยหรือให้ความเห็นด้านเศรษฐกิจทั้งในวงเฟดและต่อสาธารณชน

ทั้งนี้ ปัญหาหลักในการจัดทำ Economic Review หากจะให้ Staff ของเฟด เป็นผู้จัดทำคาดการณ์เศรษฐกิจที่เป็น Baseline นั้น จะเกิดข้อติดขัดในทางเทคนิค คือ การคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ย ณ ช่วงเวลาต่างๆในอนาคต จะใช้อัตราดอกเบี้ยตัวไหนเป็นสมมติฐานตั้งต้น (Rate Assumption) สำหรับการคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ย ในอนาคต ซึ่งประกอบไปด้วย 3 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีต่างมีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ได้แก่

  1. การใช้อัตราดอกเบี้ย Futures ของตลาดซึ่งเป็นวิธีที่ธนาคารกลางยุโรปและอังกฤษใช้ในปัจจุบันในการสร้างฉากทัศน์หลักสำหรับคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ยช่วงเวลาต่าง ๆ ในอนาคตโดยวิธีนี้ ข้อดีคือมีความโปร่งใส และไม่ต้องมีข้อสงสัยว่าค่าคาดการณ์จะเป็นการส่งสัญญาณใด ๆ ให้กับตลาด ทว่าข้อเสียคือ ดอกเบี้ย Futures ของตลาด ได้รวมค่าความเสี่ยงและค่าพรีเมียมจากสภาพคล่องเข้าไปด้วย ซึ่งถือเป็นตัวรบกวนต่อข้อมูลที่แท้จริง รวมถึงยังมีความผันผวนสูงมากในบางช่วงเวลา ซึ่งแบงก์ชาติหลายแห่งที่ใช้วิธีนี้ ต่างให้ความเห็นว่าได้ก่อความสงสัยต่อสาธารณชนอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดี วิธีการทางเศรษฐมิติเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็สามารถที่จะลดทอนปัญหาดังกล่าวได้ในบางส่วน รวมถึงการอธิบายและอภิปรายถึงข้อจำกัดของช่วงเวลาของข้อมูลที่ใช้กับช่วงเวลาที่เป็นวันประชุมเฟดจริง อีกทั้งความเห็นของสมาชิกเฟดต่อตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวก็สามารถลดข้อจำกัดดังกล่าวได้ในบางส่วน
  2. การใช้ค่าคาดการณ์ที่เป็นมัธยฐานของDot Plot ของสมาชิกเฟด

โดยวิธีนี้ ถือเป็นการเลี่ยงความเสี่ยงของการส่งสัญญาณผิด ๆ ว่าจะเป็นนโยบายของเฟด อย่างไรก็ดี ตัวเลข Dot Plot ที่ได้ยังขาดความโปร่งใสและมีวิธีการหรือขั้นตอนที่ชัดเจนในการทำให้ได้มาซึ่งตัวเลขดังกล่าว รวมถึงยังไม่มีสมมติฐานรองรับในการวิเคราะห์อีกด้วย ที่สำคัญ ช่วงที่สมาชิกเฟดให้ตัวเลข Dot Plot ออกมา มักจะเกิดขึ้นหลังจากได้บทเคราะห์ของ Staff เฟดแล้ว

  1. วิธี Policy Rules ที่ใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมของสมาชิกเฟดในอดีตโดยปรับเปลี่ยนด้วย Forward Guidance ในปัจจุบันข้อมูลการตั้งราคาที่มาจากตลาดการเงินและข้อมูลอื่น ๆโดยเป็นวิธีที่แบงก์ชาติแคนาดาใช้อยู่รวมถึง Staff ของเฟดก็ใช้วิธีนี้อยู่ในปัจจุบันซึ่งถือเป็นแต้มต่อของวิธีนี้โดยมีสิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อชั่งน้ำหนักดูได้แก่

 

ข้อดี: เป็นวิธีที่ถือว่ามีความโปร่งใสสูง และการเปลี่ยนแปลงของค่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสามารถอธิบายได้โดยตรงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ข้อเสีย: การเปิดเผยข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพต่อสาธารณชน เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่พึงประสงค์ต่อตลาด

ท้ายสุด นอกจากการสร้างฉากทัศน์หลักแล้ว เพื่อให้เห็นถึงภาพเศรษฐกิจในอนาคตให้ครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การสร้างการประมาณการเศรษฐกิจจากฉากทัศน์ทางเลือก มีความจำเป็นต่อแพ็คเกจบทวิเคราะห์ของเฟดที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งวิธีที่ใช้ค่าคาดการณ์ที่เป็นมัธยฐานของ Dot Plot ของสมาชิกเฟด ถือว่าเสียเปรียบเนื่องจากสมาชิกต้องใช้เวลายาวนานมากในการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ในฉากทัศน์ทางเลือก โดยวิธี Policy Rules ดูเหมือนจะได้เปรียบวิธีอื่นมากที่สุด

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com