
ข่าวดังในแวดวงการลงทุนสัปดาห์ที่แล้ว เห็นจะไม่พ้นการประกาศปิดกองทุน Scion Asset Management ของไมเคิล เบอร์รี ตำนานการทำกำไรจากวิกฤตซับไพร์ม ที่โด่งดังในภาพยนตร์ The Big Short ซึ่งรอบนี้เก็งว่าหุ้น Palentir และ Nvidia จะมีราคาลดลง โดยเขาหันมาเปิดบริการ Newsletter และยังถือหุ้น Fannie และ Freddie ซึ่งกำลังเตรียม IPO ในสัดส่วนที่ไม่น้อย นอกจากนี้ยังให้ความเห็นต่อบิตคอยน์ว่าจะไม่มีมูลค่าในที่สุด แถมยังฟันธงว่า OpenAI จะจบเหมือนเบราวเซอร์ Netscape ในยุค Dotcom Bubble บทความนี้ จึงขอเจาะลึกนิสัยของยอดนักลงทุนของไมเคิล เบอร์รี และกลุ่มนักลงทุนจากภาพยนตร์ The Big Short ดังนี้
ผมน่าจะเป็นคนหนึ่งที่อาจจะถือว่าไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุการณ์วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์มากเท่าไร เนื่องจากเคยทำงานอยู่ที่ AIG จึงขอทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ภาพยนตร์สักครั้งกับภาพยนตร์ “The Big Short” ที่เขียนจากหนังสือของไมเคิล ลิวอิส
เค้าโครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ มาจากเหตุการณ์จริงโดยโฟกัสไป ณ ช่วงเวลาระหว่างปี 2004-2008 อย่างที่ทราบกันว่าระหว่างปี 2004 ถึงต้นปี 2007 ไม่มีใครคาดคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้จะประสบภาวะวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 70 ปี ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งอลัน กรีนสแปน และเบน เบอร์นันเก้ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐในตอนนั้นไม่มีอะไรน่ากังวล แม้จะว่าหนี้เสียของสินเชื่อบ้านจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากความเคยชินที่มองเศรษฐกิจเฉพาะจากตัวเลขมหภาคเพียงไม่กี่ตัว อย่างเช่นอัตราเงินเฟ้อ จีดีพี โดยไม่ดูถึงไส้ในว่าจริง ๆ แล้วมีการบิดเบือนของกลไกระบบการเงินจากบริษัทการเงินต่าง ๆ และบริษัทจัดอันดับเครดิต
ทว่ามีนักลงทุนอย่างน้อย 4 กลุ่มที่เห็นความไม่ชอบมาพากลนี้ และลงทุนด้วยการพนันว่าราคาของตราสารทางการเงินที่ผูกกับสินเชื่อซับไพร์มจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง โดยอดัม แมคเคย์ ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ เลือกให้ 2 นักลงทุน นามว่า ไมเคิล เบอร์รี ผู้บริหารกองทุน Scion Capital ในขณะนั้น และ สตีฟ ไอส์แมน ผู้บริหารกองทุน FrontPoint ในขณะนั้น เป็นตัวเอกของเรื่อง ผมได้ข้อคิดจากหนังเรื่องนี้ว่านิสัยของนักลงทุนที่น่าจะมีอยู่ เพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงขึ้น ดังนี้
หนึ่ง นิสัย ‘ช่างสังเกตว่าได้เห็นช่องที่ทำให้สามารถเชื่อได้ว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากลในระบบ’ นี่เป็นจุดกำเนิดแรกของการสร้างกำไรหลายหมื่นล้านของไมเคิล เบอร์รี่ ที่แสดงโดยคริสเตียน เบลล์ ซึ่งเป็นอดีตแพทย์ทางสมองที่เห็นความผิดปกติของความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพสินเชื่อบ้านกับอันดับตราสารซับไพร์มที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้มั่นใจว่าราคาตราสารทางการเงินนี้อย่างไรเสีย ต้องดิ่งลงในที่สุด แม้จะต้องรอคอยผลลัพธ์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นอยู่หลายปี
ทว่าท้ายสุด เขาก็โกยกำไรไปให้ตนเองกว่า 100 ล้านดอลลาร์ และให้กับลูกค้ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ รวมถึงกองทุน Scion Capital ก็ทำกำไรร้อยละ 489.34 ระหว่างเดือน พ.ย. 2000 ถึง มิ.ย. 2008 ในเชิงสัญลักษณ์ ผมชอบหนังเรื่องนี้ตอนที่เกรก ลิปเปอร์แมน นายแบงก์จาก Deutsch Bank ที่แสดงโดยไรอัน กรอสสิ่ง บอกกับทีมของสตีฟ ไอส์แมน ว่าเขากำลังได้กลิ่นของเงินอยู่แถวนี้ นั่นคือเขาได้สังเกตและมองเห็นโอกาสในการทำกำไรจากความไม่สมดุลของระบบการเงินในสหรัฐ
สอง นิสัย ‘สืบเสาะไปให้ถึงที่สุด เพื่อตรวจสอบความเชื่อหรือสมมติฐานของตนเองอย่างจริงจัง’ โดย สตีฟ ไอส์แมน หรือ มาร์ค บาม ตามชื่อในหนังที่แสดงโดยสตีฟ คาร์เรล ได้ออกไปตรวจสอบตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งมีบ้านที่สร้างกันอย่างโครมครามตามหัวเมืองต่าง ๆ ว่าเป็นของจริงหรือลวงโลก เมื่อได้คำตอบจากภาคสนามแล้วจึงลงทุนในรูปแบบที่ตนเองคิดด้วยความมั่นใจมากขึ้น หรือแม้แต่ไปถามหาบริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ว่าทำไมยังให้อันดับเครดิตตราสารซับไพร์มถึง AAA แม้หนี้เสียของสินเชื่อดังกล่าวจะแย่ลงอย่างมากก็ตาม เพื่อบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของนักลงทุนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สาม นิสัย ‘กัดไม่ปล่อยเพื่อให้ได้ตัวช่วยที่ถูกทาง โดยเฉพาะตอนที่คุณยังตัวเล็กอยู่’ โดย เจมี่ มาย และชาลี รีดลีย์ 2 นักลงทุนที่เปิดกองทุนเล็กๆอย่าง Cornwall Capital ไว้หลังโรงรถ ไม่สามารถที่จะเปิดบัญชีเพื่อทำธุรกิจกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินในวอลล์ สตรีทได้จึงต้องทำการหาตัวช่วยที่อุดช่องว่างดังกล่าว โดยในที่สุดก็ได้เบน ฮ็อคเก็ตต์ ที่แสดงโดยแบรด พิตต์มาช่วยให้สามารถซื้อขายตราสารทางการเงินกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
สี่ นิสัย ‘อดทนและรอคอยวันนั้นให้มาถึง ถ้าคุณมั่นใจในสมมติฐานของคุณจริง ๆ’ แน่นอนว่ากำไรที่สูงเกือบพันล้านดอลลาร์ไม่ได้มาง่าย ๆ ทั้งไมเคิล เบอร์รี่ ผู้บริหารกองทุน Scion Capital ที่ต้องทนเสียงก่นด่าจากลูกค้า และสตีฟ ไอส์แมน ผู้บริหารกองทุน FrontPoint ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อคงสถานะการทำ Short ตราสารซับไพร์ม โดยทั้งคู่ต้องรอเป็นเวลากว่า 2 ปีจึงจะสามารถได้กำไรอย่างมหาศาลได้
ห้า นิสัย ‘ทำงานหรือบริหารเงินด้วยสไตล์ที่คุณถนัด’ จะเห็นได้ว่า ไมเคิล เบอร์รี่ ชอบทำงานอยู่คนเดียวด้วยการอ่าน ทำการวิเคราะห์ และตัดสินใจในห้องด้วยตัวเอง ด้านสตีฟ ไอส์แมน ชอบมีทีมที่ถนัดกันคนละอย่างมาช่วยเสริมซึ่งกันและกัน ส่วนเกรก ลิปเปอร์แมน ชอบเป็นตัวกลางเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง ขณะที่เจมี่ มาย และชาลี รีดลีย์ แห่ง Cornwall Capital ก็ชอบทำงานแบบรีแลกซ์โดยมีเบน ฮ็อคเก็ตต์คอยกำกับอยู่ห่าง ๆ ทุกคนมีความชอบในสไตล์ของตนเองเพื่อจะประสบผลสำเร็จ
หลังดู The Big Short จบ ผมอยากดูหนังใหม่ที่สร้างให้จอห์น พอลสัน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 เป็นตัวเอกจังครับ
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com