หนึ่งในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย America First ของโดนัลด์ ทรัมป์ แบบเต็ม ๆ ได้แก่ หุ้นกลุ่มการทหาร (Defence) ซึ่งถือว่ามีราคาที่สูงขึ้นอย่างค่อนข้างร้อนแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่รัสเซียบุกยึดครองยูเครน ความขัดแย้งในฉนวนกาซ่า และล่าสุด ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐจะไม่เข้ามาช่วยเหลือด้านการทหารต่อสมาชิกนาโต้ที่มีการใช้จ่ายด้านกลาโหมน้อยจนเกินไป
ในมุมมองของทรัมป์ ประเมินว่างบประมาณด้านความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ ควรจะมีอย่างน้อย 5% ของจีดีพี ด้วยคำขู่ของทรัมป์นี้ ทั้งยุโรปและอังกฤษต่างเพิ่มงบประมาณด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และระบบต่างๆที่ใช้สนับสนุนเป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นชั้นนำในกลุ่มนี้ อาทิ Rheinmetall, Thales, BAE Systems, Leonard และ Saab พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปีที่แล้ว
โดยนักลงทุนคาดการณ์งบประมาณของภาครัฐด้านการทหารที่ตั้งไว้จะนำไปสู่คำสั่งซื้ออาวุธใหม่ ๆ รวมถึงมีการอัปเกรดรุ่นอาวุธให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเมื่อได้มีการลงนามสัญญาการจัดซื้ออาวุธ ก็จะเกิดโมเมนตัมต่อราคาหุ้นนั้น อย่างไรก็ดี สัญญาระยะยาวก็ทำให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ที่ตกรุ่นไป รวมถึงสัญญาที่ลงนามไว้อาจมีการยกเลิกเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ที่สำคัญบริษัทเหล่านี้ จะได้รับผลกระทบจากนโยบาย Tariff ของทรัมป์ กระนั้นก็ดี นักลงทุนก็มีทางเลือกมากมายในตราสารด้านการลงทุนในตลาด ซึ่งสามารถลงทุนด้วยมูลค่ามากหรือน้อยได้ตามความชอบใจ
สำหรับหุ้น Defence ใน FTSE 100 ที่น่าสนใจ ได้แก่ BAE, Babcock ธุรกิจเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของอังกฤษ และ Rolls-Royce ในขณะที่หุ้นที่เล็กลงมา ได้แก่ Qinetiq ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบและเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย, Chemring ทำด้านวิศวกรรมการทหาร รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีด้านกลาโหม อย่าง Cohort, Filtronic และ Concurrent
โดยบทความนี้ ขอแนะนำหุ้น Concurrent Technology (CNC)
ธุรกิจของ CNC คือการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีความทนทานต่อการใช้งานเพื่อใช้ในเครื่องบินรบและเรือรบ โดยส่วนหลักเป็นบอร์ดคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้เป็นระบบเรดาร์และการสื่อสารซึ่งทนทานต่อความร้อนและการสั่นไหว
โดยการเพิ่มขึ้นของงบกลาโหมได้ส่งผลให้รายได้ของ CNC ในปี 2024 เพิ่มขึ้น 27% สู่ระดับ 40.3 ล้านปอนด์ และ Ebitda เพิ่ม 30% สู่ระดับ 7.8 ล้านปอนด์ อีกทั้งยังได้รับดีลถึง 10 รายการจากบริษัท contractor รายใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท โดยจะส่งผลดีต่อยอดขายในปี 2027 เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี นโยบาย Tariff ของทรัมป์ต่อยุโรปถือเป็นความเสี่ยง ซึ่ง CNC มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐราว 45% และจากยุโรป 20% อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายด้านกลาโหมของเยอรมันจะนำมาซึ่งรายได้ในตลาดนี้เพื่อทดแทนรายได้จากฝั่งสหรัฐที่น่าจะลดลง
ด้านผู้บริหารของบริษัท ได้กล่าวว่ารายได้ 100 ล้านปอนด์ เป็นเป้าหมายของในอนาคตของบริษัท ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสัญญาการจัดซื้ออาวุธขนาดใหญ่ได้มีการส่งมอบ โดยหุ้น CNC ซื้อขายกันที่ forward P/E ที่ 25 เท่า ซึ่งดูเหมือนจะแพง ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของงบการเงินบริษัท ก็ยังถือว่าไม่แพงจนเวอร์มากเกินไป แม้ว่า US Tariff จะเป็นความเสี่ยงในตอนนี้ ทว่าในระยะยาว การเพิ่มขึ้นของงบการทหารของยุโรปถือเป็นปัจจัยเชิงบวกด้าน Macro ในระยะยาว แถมด้วยความแข็งแกร่งของงบการเงินจะช่วยต้านทานความไม่แน่นอนจากทรัมป์ได้อีกด้วย
หันมาพิจารณา ETF ด้าน Defence กันบ้าง ที่เป็น Big Name ในตอนนี้ เห็นจะไม่พ้น 2 ตัวนี้ ได้แก่ WisdomTree Europe Defence UCITS ETF – EUR Acc (WDEF) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งได้กวาด AUM ไปได้ $588 ล้านแล้ว และ VanEck Defense UCITS ETF (DFNS) ที่มียอด AUM ที่ $1.9 พันล้าน โดยเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว กวาดไปถึง $1 พันล้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจของกลุ่มด้านการทหารในโลกที่มี Geopolitics ที่รุนแรงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เริ่มจาก WDEF ที่ลงทุนตามดัชนี WisdomTree Defence UCITS Index ลงทุนหุ้นในกลุ่ม Defence ของยุโรป ขั้นต่ำ 20 บริษัท โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2025 น้ำหนักการลงทุนในประเทศฝรั่งเศส, อังกฤษ, เยอรมัน และอิตาลี ที่ 28%, 24%, 18% และ 13% ตามลำดับ โดยเน้นกลุ่ม Industrial 99% ด้านหุ้น Top 5 ที่ถือ ได้แก่ Rheinmetall, Thales, BAE Systems, Leonard และ Saab ทั้งหมดราว 60% ของพอร์ตรวม โดย ETF นี้ มีค่าใช้จ่ายรวม 0.4%
ด้าน DFNS ของ VanEck ลงทุนในบริษัทด้านการทหารชั้นนำ บริษัท cybersecurity ขนาดใหญ่ และผู้ให้บริการด้านการป้องกันทางทหาร ตามดัชนี MarketVector™ Global Defense Industry Index โดยเริ่มตั้งกอง ETF ในเดือนมกราคม 2023
โดยนำ้หนักการลงทุนในประเทศสหรัฐ, ฝรั่งเศส, อิตาลี, และ เกาหลีใต้ ที่ 53%, 11%, 8% และ 7% ตามลำดับ เน้นกลุ่ม Industrial 90% และ Information Technology 9% ด้านหุ้น Top 5 ที่ถือ ได้แก่ RTX Corp, Thales, Leonard, Palentir และ Leidos Holdings ทั้งหมดราว 40% ของพอร์ตรวม โดย ETF นี้ มี P/E ที่ 26.78 เท่า ถือหุ้นทั้งหมด 28 ตัว ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2025
สำหรับอัตราผลตอบแทนของ DFNS ในปี 2024 อยู่ที่ 44.17% และ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2025 มีผลตอบแทนตั้งแต่ตั้งกองที่ 48.06%
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com