บทเรียนน่าคิด... ผ่านคู่จิ้นหุ้นดังสหรัฐ (2)

ขอนำเสนอภาคต่อจากบทความโดยผู้เขียนของ Dow Jones News Service เมื่อครั้งก่อน ว่าด้วยการเปรียบเทียบหุ้นรายตัวที่เป็นคู่ ซึ่งมีสไตล์ดูเหมือนที่แตกต่าง โดยทำในลักษณะที่คล้ายกับเบนจามิน เกรแฮม เขียนไว้ในหนังสือเล่มดัง พร้อมเรียนรู้ข้อคิดที่น่าสนใจสะท้อนแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจากข้อสรุปของการเปรียบเทียบ ดังนี้

หุ้น Valeant Pharmaceuticals International (ธุรกิจยา) vs. Valmont Industries, Inc. (ธุรกิจอุปกรณ์ด้านอุตสาหกรรม)

ในปี 2015 Valeant เหมือนหุ้นที่ดูมีเรื่องราวว่าจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยนับตั้งแต่ปี 2010 บริษัทได้ทำการซื้อกิจการบริษัทยาอื่น ๆ กว่า 12 แห่ง โดยหลังจากซื้อกิจการแต่ละแห่ง ราคาหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นทันที โดยบางครั้งก็ขึ้นราคายาที่ขายจากตอนที่ขายในบริษัทเดิมก่อนถูกควบรวมไปเป็นเท่า ๆ ตัว

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตัวเลขด้านอัตราส่วนทางการเงิน Valeant ไม่ได้มีความแข็งแกร่งทางการเงินแต่อย่างใด โดยต้องอาศัยการกู้ยืมถึงกว่า $3.1 หมื่นล้าน เพื่อทำการซื้อกิจการ โดยแท็คติคที่ใช้ในการสื่อสารตัวเลขทางการเงินต่อสาธารณชนคือการใช้ตัวเลขที่คิดขึ้นเองอย่าง Cash Earnings ซึ่งเป็นมาตรวัดกำไรที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ของบริษัท โดยแทบไม่มีบริษัทใดใช้ตัวเลขในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ หากใช้ตัวเลขทางการเงินแบบปกติ บริษัทมีผลขาดทุนหรือแทบจะไม่สามารถทำให้ผลประกอบการเท่าทุนได้ในเกือบทุกไตรมาสที่ผ่านมา

กระนั้นก็ดี แวดวงตลาดหุ้นมิได้คิดเห็นเป็นเช่นนั้น ราคาหุ้น Valeant เพิ่มขึ้นเกือบ 1,900% นับตั้งแต่ปี 2010 จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2015

ทั้งนี้ นักลงทุนแนว short-seller และ ผู้สื่อข่าวบางสำนัก รายงานว่าบริษัทใช้แนวทางการขายแบบเชิงรุกมากเกินพอดีในสินค้าของบริษัทที่ตนเองเข้าไปซื้อเพื่อให้ตัวเลขรายได้มีขนาดสูงเกินจริง จนสภาคองเกรสได้จัดให้มีการ hearings เพื่อสอบว่ามีการขึ้นราคายาแบบไม่เหมาะสมต่อคนไข้ที่เป็นลูกค้าหรือไม่

ณ สิ้นปี 2017 ราคาหุ้น Valeant (ปัจจุบันชื่อว่า Bausch Health Companies) ได้ลดลง 97% จากจุดสูงสุด ในปี 2020 Valeant จ่ายค่าปรับมูลค่า $45 ล้านต่อกลต. สหรัฐ เพื่อยุติคดีด้าน accounting fraud

ในขณะที่ Valeant มีประเด็นด้านมูลหนี้และมาตรฐานบัญชี Valmont เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการโค้ตติ้งโลหะ และอุปกรณ์ด้านการชลประทาน โดยกำไรของบริษัทถือได้ว่าไปได้อย่างเรื่อย ๆ มีขึ้นและลงบ้าง ทว่าไม่ได้หวือหวา

โดยกำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่าระหว่างปี 2010-2013 จากนั้น ลดลง 38% ในอีก 3 ปีถัดมา ในปี 2022 กำไรสุทธิของ Valmont ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปี 2013

นับตั้งแต่ปี 2010 ถึงสิ้นปี 2023 ราคาหุ้น Valmont เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.6% ต่อปี น้อยกว่าค่าเฉลี่ย 12.9% ของ S&P500 กระนั้นก็ดี ยังดีกว่าขาดทุนเฉลี่ย 3.5% ต่อปีของหุ้น Valeant

ข้อคิด: เมื่อบริษัทใดที่เติบโตด้วยการซื้อกิจการเพียงอย่างเดียว มักจะจบไม่สวย ดังนั้น ควรจะแยกส่วนสำหรับการวิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียดด้วยความใส่ใจเป็นพิเศษ

หุ้น Microsoft (ธุรกิจคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์) vs. MicroStrategy (bitcoin)

แม้ว่าทั้ง 2 บริษัท จะทำธุรกิจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ทว่า Microsoft เท่านั้น ที่ทำธุรกิจนี้แบบมีโฟกัส ส่วน MicroStrategy เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ที่มีจุดเด่นตรงเป็นบริษัทที่ถือครองบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

โดยจากปี 2012 ถึงปี 2019 รายได้ของ MicroStrategy ลดลง 19% โดยธุรกิจซอฟต์แวร์แนววิเคราะห์ข้อมูลยังมีกำไร ทว่าแบบทรงๆตัว ในปี 2020 ในขณะที่ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด CEO ของบริษัท ไมเคิล แซนเลอร์ เริ่มใช้สำรองเงินสดที่มีอยู่เยอะซื้อสะสมบิตคอยน์

นักเทรดที่เน้นซื้อตามเทรนด์ไม่เพียงแต่ซื้อบิตคอยน์เท่านั้น ยังหันมาสนใจซื้อ MicroStrategy ด้วย ในปี 2020 ราคาหุ้น MicroStrategy พุ่งสูงขึ้น 172%

อย่างไรก็ดี ภายใต้มาตรฐานบัญชีว่าด้วยการรายงานงบการเงินของสหรัฐ บริษัทต้องทำการทบทวนมูลค่าตลาดของบิตคอยน์ที่บริษัทถือครอง ณ ทุกสิ้นไตรมาส โดยต้องลบผลขาดทุนจากการถือบิตคอยน์ออกจากกำไรของบริษัท หากราคาบิตคอยน์ในขณะนั้นต่ำกว่าราคาที่เข้าซื้อ อย่างไรก็ดี หากมูลค่าของบิตคอยน์สูงขึ้น MicroStrategy จะสามารถบันทึกผลกำไรจากการถือครองได้ ก็ต่อเมื่อมีการขายบิตคอยน์เท่านั้น ไม่สามารถบันทึกผลกำไรได้หากยังคงถือครองอยู่

ด้วยเหตุนี้ เนื่องจาก MicroStrategy เข้าซื้อบิตคอยน์ด้วยราคาที่ผันผวนมากในตลาดที่ยังไม่มีเสถียรภาพของราคา จึงทำให้ต้องตั้งสำรอง “digital asset impairment loss” มูลค่า $71 ล้าน, $831 ล้าน และ $1.3 พันล้านในปี 2020, 2021 และ 2022 ตามลำดับ นั่นเป็นเหตุให้อัตราผลตอบแทนของ MicroStrategy มีความแตกต่างจากบิตคอยน์

ณ ปลายปี 2023 MicroStrategy มีมูลค่าการลงทุนบิตคอยน์ $2.5 พันล้าน คิดเป็นกว่า 3 ใน 4 ของสินทรัพย์รวมที่ $3.4 พันล้าน ซึ่งดูจะเหมือนกับเป็นเฮดจ์ฟันด์มากกว่าบริษัทคอมพิวเตอร์

ทั้งนี้ ใน 15 วันทำการแรกของปี 2024 ราคาหุ้น MicroStrategy ลดลง 29% จากข่าวหน่วยงานกำกับตลาดทุนที่ทำการอนุมัติให้ออกตราสาร ETF ที่ถือครองบิตคอยน์โดยตรงในตลาดหุ้น เนื่องจากมีการแข่งขันที่สูงขึ้นของการลงทุนผ่านเงินสกุลดิจิทัล

ในอีกฟากตรงข้ามของผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการของ Linkedin ด้วยมูลค่า $2.6 หมื่นล้าน ซื้อกิจการผู้ผลิตวิดีโอเกม Activision Blizzard ด้วยมูลค่า $6.9 หมื่นล้าน และ ลงทุนใน OpenAI ด้วยมูลค่า $1 หมื่นล้าน ทั้งนี้ ธุรกิจหลักยังโฟกัสไปที่จุดแข็งของบริษัทคือ ซอฟต์แวร์

ด้วยการใช้มาตรฐานบัญชีแบบอนุรักษ์นิยมและมีเงินสดสำรอง $1.44 แสนล้าน ทำให้ MicroSoft เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีความเสถียรมากที่สุดในบรรดายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จึงส่งผลให้ราคาหุ้นสามารถเอาชนะอัตราผลตอบแทนของ S&P500 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเหมือนกับว่า Microsoft จะสามารถไม่เดินเข้าสู่จุดตกต่ำเมื่อบริษัทโดยทั่วไปที่ทำธุรกิจมาแล้วเป็นระยะเวลานาน ๆ

ข้อคิด: หากคุณต้องการลงทุนในธุรกิจของบริษัท ให้ไปซื้อหุ้นของบริษัทนั้น ในขณะที่หากต้องการถือครองบิตคอยน์ ให้ซื้อเงินสกุลดิจิทัลโดยตรง อย่าได้ไปซื้อบริษัทที่ถือครองบิตคอยน์

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com