อินโดนีเซีย.. จากแค่ ‘แผ่ว’ สู่ ‘ผันผวน’

หากพูดถึงหนึ่งในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่โดดเด่นด้านเศรษฐกิจและการลงทุนมากที่สุดในปี 2024 น่าจะได้แก่ อินโดนีเซีย ซึ่งมักเห็นในแทบทุกโผของโพลจากความเห็นผู้เชี่ยวชาญ ทว่า ณ วันนี้ ภาพของประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียนี้ ที่เคยเหมือนว่าแข็งแกร่งดูเริ่มจะเปราะบาง ซึ่งเราเริ่มเห็นแบบลาง ๆ มาก่อนหน้า จากบทความ ‘อินโดนีเซีย..เศรษฐกิจก็กำลังจะแผ่วไม่แพ้ไทย’ ที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนหน้าเมื่อ 1 เดือนก่อน

ผมขอเริ่มต้นเรื่องราวจากช่วงเวลาประธานาธิบดี พราโบโว ซูเบียนโต ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากอดีตผู้นำ โจชัว วิดูโด ที่ได้รับความนิยมสูงมากจากชาวอินโดนีเซีย เมื่อปีที่แล้ว เรื่องราวหลังจากจุดนี้ดูจะค่อนข้างไม่สดใสมากเท่าไหร่ ดังนี้

โดยหลังจากที่พราโบโวตั้งตารอคอยการขึ้นมาเป็นผู้นำอินโดนีเซียมากว่าสองทศวรรษ เมื่อได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ จึงตั้งใจที่จะดำเนินนโยบายที่ตนเองอยากลงมือทำมาเนิ่นนานแล้ว อาทิ โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนฟรีมูลค่า $2.8 หมื่นล้าน (สำหรับดราม่าโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนฟรีนี้ ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์อาหารเป็นพิษจนนักเรียนเกิดอาการท้องเสีย ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความโปร่งใสของการใช้เงินในส่วนดังกล่าวของเจ้าหน้าที่), การสร้างบ้านราคาถูก 3 ล้านหลัง, สหกรณ์ในหมู่บ้านทั่วประเทศ 8 หมื่นแห่ง และกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติมูลค่า $9 แสนล้าน

ทั้งนี้ ต้นตอของปัญหาที่ก่อให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่มากในประเทศที่มีการเผาที่พักของรัฐมนตรีคลังอินโดนีเซีย จนกระทั่งมีผู้ชีวิต ณ ถึงตรงนี้จำนวน 8 คนนั้น คือแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการต่างๆของพราโบโว ซึ่งเขาใช้การตัดลดงบประมาณของกระทรวงต่างๆ รวมถึงตัดลดงบที่โอนไปให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นต้องเพิ่มอัตราภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่เก็บต่อชาวอินโดนีเซียในเมืองรองและแถบชนบท ส่งผลให้คนกลุ่มนี้มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายน้อยลง ในขณะที่สิทธิพิเศษหรูหราต่างๆของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภากลับเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ จึงเกิดภาพของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยจำนวนชาวอินโดนีเซียที่มีมูลค่าจีดีพีต่อหัวเกิน $5,000 ซึ่งเป็นเส้นขีดบ่งบอกถึงความเป็นชนชั้นกลาง ได้ลดลงมาเข้าสู่ระดับที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด

หรือกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียได้ติดกับดักชนชั้นกลางเข้าอย่างเต็มๆแล้วในขณะนี้ โดยในอดีต ยุคทศวรรษ 1980 อัตราการเติบโตจีดีพีของอินโดนีเซียเคยอยู่ในระดับร้อยละ 8 ใกล้เคียงกับบ้านเรา ทำให้เกิดการจ้างงานอย่างคึกคักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ทว่าในขณะนี้ เศรษฐกิจเมืองอิเหนาเริ่มแค่จะทำให้เกิน 5% ได้ก็ค่อนข้างยากแล้ว จากการที่จีนได้ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมเดิมที่อินโดนีเซียที่เคยส่งออกได้ จนต้องเลิกกิจการในอุตสาหกรรมเดิม แล้วหันมาโฟกัสในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และสินค้าโภคภัณฑ์

โดยชาวอินโดนีเซียในยุคนี้ นับวันจะหางานยากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหนึ่งคือ รัฐบาลของพราโบโวหันมีนโยบายหลักที่หันมาเน้นอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ที่ประเทศมีทรัพยากรดังกล่าวอยู่มากอย่างเต็มตัว ซึ่งเซกเตอร์เหล่านี้ มีจำนวนการจ้างตำแหน่งงานต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม ที่สำคัญ เมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงอย่างมาก ดังเช่นในตอนนี้ จึงส่งผลให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นและอัตราการเติบโตเศรษฐกิจซบเซาลงมากขึ้นไปอีก

ในขณะที่ก็ไปลดการให้ความสำคัญต่อเซกเตอร์โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานหลักในอดีตของประเทศ ที่สำคัญ การก่อสร้างในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆก็ลดน้อยลงจากรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยจากตัวเลขของ Citi พบว่า จำนวนโครงการการก่อสร้าง Toll Road ระหว่างปี 2025-2029 มี 4 โครงการ ลดลงจาก ระหว่างปี 2020-2024 มี 53 โครงการ จนทำให้อัตราการว่างงานของอินโดนีเซียในขณะนี้พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์

ทางแก้ของพราโบโวต่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ ในระยะสั้น เขากลับเลือกปลดรัฐมนตรีคลัง ศรี มูลยานิ อินทราวาติ ที่ดำรงตำแหน่งนี้กว่า 14 ปีในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการของธนาคารโลก ส่งผลให้ตลาดเริ่มกังวลถึงความน่าเชื่อถือของเสถียรภาพเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ส่งผลให้ดัชนีหุ้นอินโดนีเซียร่วงกว่า 3% ในเวลา 2 วัน (วันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา) โดยในขณะนี้ ดัชนีหุ้นอินโดนีเซียเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดเกิดใหม่ต่ำกว่าระดับช่วง Liberation day ที่ประกาศโดยโดนัลด์ ทรัมป์ เสียอีก

รวมถึงเพิ่มความเชื่อมโยงด้านการ Financing ระหว่างธนาคารกลางอินโดนีเซียกับกระทรวงการคลัง สำหรับใช้ในโครงการบ้านราคาถูกและสหกรณ์ในหมู่บ้านทั่วประเทศ ทำให้ภาพความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติอินโดนีเซียลดลงไป จากที่ ณ ถึงตรงจุดนี้ แบงก์ชาติอินโดนีเซียถือว่าสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนทั่วโลกผ่านเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคได้ดีมาก ผ่านการได้รับความสนับสนุนและร่วมมือเป็นอย่างดีจากอดีตรัฐมนตรีคลัง อินทราวาติ จึงเริ่มมีความกังวลถึงการแทรกแซงของรัฐบาลต่อแบงก์ชาติว่ากำลังเริ่มก่อตัวขึ้นจนอาจถึงขั้นขาดความเป็นอิสระในที่สุด โดยสิ่งนี้ มีโอกาสทำให้อัตราเงินเฟ้อและความคาดหวังอัตราเงินเฟ้ออินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลาถัดไป รวมถึงการลดดอกเบี้ยอีกขนานใหญ่ในอนาคตอันใกล้

ดูเหมือนว่าการที่พราโบโวใช้นโยบายประชานิยม พร้อมๆกับการตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆในกระทรวงและรัฐบาลท้องถิ่นในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเดินไปต่อได้ยาก หากเขายังไม่เปลี่ยนแนวทางดังกล่าวนี้ น่าจะมีโอกาสสูงที่การประท้วงและความวุ่นวายต่างๆรุนแรงมากขึ้นในอินโดนีเซีย โดยที่น่าจะมีโอกาสบานปลายไปกว่านี้อีกเป็นอย่างมากจนกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลและต่อเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคต

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com